วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

ตำนานรักบรรลือโลกอีกเรื่องหนึ่งที่เราจะนำมาเล่าสู่กันฟังในเดือนแห่งความรักนี้ คือ ตำนานรักของ" พระนางคลีโอพัตรา " ตามหน้าประวัติศาสตร์แล้ว พระชายาองค์หนึ่งของพระเจ้าลิป ซึ่งเป็นพระบิดาของ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ก็ทรงมีพระนามว่า " คลีโอพัตรา "

และเมื่อ ราชวงศ์ปโตเลมี ของ มาซีโดเนี่ยน ขึ้นปกครองไอยคุปต์ นาม " คลีโอพัตรา " จึงนิยมตั้งชื่อกันอย่างแพร่หลาย ในหมู่เจ้าหญิงของราชวงศ์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ราชินีคลีโอพัตราแห่งไอยคุปต์จึงมีถึง 7 พระองค์

ส่วนองค์ที่เราจะได้รับรู้เรื่องเบื้องลึกของพระนางในที่นี้เป็น ราชินีคลีโอพัตราองค์สุดท้าย พระนางทรงเป็น ราชธิดาของ ฟาโรห์ออลีตีส

พระนางคลีโอพัตรา ในความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วไป คือ พระราชินีผู้ทรงเสน่ห์ที่สุด มีรูปโฉมที่งดงาม เพียบพร้อมไปด้วยกลเม็ดเด็ดพรายในเชิงพิศวาส ที่สามารถมัดใจชายผู้เป็นยอดนักรบที่กล้าแกร่งให้มาซบอยู่ตักได้ถึงสองคนในเวลาใกล้เคียงกัน แต่แท้ที่จริงแล้ว เสน่ห์ของพระนางคลีโอพัตรา ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหนังมังสา หรือความงดงามแห่งใบหน้าและเรือนกายเลย แต่อยู่ที่สติปัญญาและความเฉลียวฉลาดรู้เท่าทันคนต่างหาก


การที่เราเข้าใจกันว่า พระนางมีเสน่ห์อันล้ำลึก ยั่วยวนใจชาย จนเหลือกำลังนั้น เป็นผลมาจากภาพของ พระนางคลีโอพัตรา ที่เราเห็นจากภาพยนตร์ที่สร้างมาจากบทละครอันลือลั่นของ วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ ชื่อเรื่อง " แอนโทนี - คลีโอพัตรา " นั่นเอง และยิ่งละครและภาพยนตร์ยิ่งดังเท่าไร ผู้คนก็พากันเชื่อมั่นว่า พระนางคลีโอพัตรา จะต้องเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่านั้น

แต่จากหลักฐานที่นักเขียนชีวประวัติลือนามอย่าง " พลูตาร์ค " ได้เขียนถึง พระนางคลีโอพัตรา ไว้ว่า "เราได้รับคำบอกเล่าว่า ความงามของคลีโอพัตรานั้น มิใช่งามเลิศไร้ที่ติ จนดึงดูดสายตาของผู้พบเห็นในนาทีแรก แต่นางมีนางมีเสน่ห์อันใครต้านทานไม่ได้ มีบุคลิกแปลกและทรงอำนาจ จนทำให้ทุกวาจาและท่าทีของนางสะกดผู้คนให้ตกอยู่ในมนต์เสน่ห์อันนี้เอง "

ภาพของพระนางคลีโอพัตราคือ หญิงสาวที่มีเรือนร่างอันอวบอ้วนใบหน้ากลม ปากบางสวย แต่มีจมูกที่ทั้งใหญ่และงุ้ม แม้ว่ารูปโฉมของพระนางคลีโอพัตรา ราชินีแห่งไอยคุปต์จะไม่เหมือนอย่างที่เราเคยรับรู้ แต่บุคลิกและเอกลักษณ์ของพระนาง ที่เลอค่ามากกว่ารูปโฉม จนกลายเป็นเสน่ห์ที่มั่นคงและมากขึ้นตามอายุไข นั่นก็คือ สติปัญญาและความรอบรู้ พระนางทรงเชี่ยวชาญในด้านคณิตศาสตร์ รอบรู้เรื่องรัฐศาสตร์ และหลักการปกครอง อันเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ดี

รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์อย่างยอดเยี่ยม สามารถพูดได้ถึง 6 ภาษา รวมทั้งยังเก่งเรื่องอักษรศาสตร์และศิลปศาสตร์ เพราะตลอดเวลา 22 ปีที่ทรงครองบัลลังก์อยู่ พระนางแต่งโคลงกลอนไว้มากมาย รวมทั้งให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูศิลปกรรมสาขาต่าง ๆ มากมาย

ด้วยความเก่งกาจของ พระนางคลีโอพัตรา ที่มีอยู่มากมาย ทำให้ฟาโรห์ผู้เป็นพระราชบิดาของพระนาง แต่งตั้งให้พระนางขึ้นครองราชบัลลังก์ คู่กับพระองค์ในปี 52 ก่อนค.ศ. และพระนางก็สามารถบริหารราชการบ้านเมืองคู่พระบิดามาได้ด้วยความเรียบร้อย จนเมื่อพระบิดาสวรรคต ความทุกข์ความขมขื่นในชีวิตของพระนาง ก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อตามธรรมเนียมไอยคุปต์ ที่สืบทอดบัลลังก์กันทางผู้หญิง

โดยที่ราชธิดาของฟาโรห์จะได้รับการตระเตรียมเพื่อเป็นราชินี โดยที่จะต้องแต่งงานกันในระหว่างพี่น้อง พระนางคลีโอพัตราจึงหนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ข้อนี้
พระนางถูกวางตัวให้อยู่ในตำแหน่งาชินี และต้องแต่งงานกับ ฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 น้องชายของพระนางเองแต่โชคร้ายที่พี่น้องคู่นี้เกลียดกัน ถึงขนาดต้องการจะฟาดฟันให้ตายกันไปข้างหนึ่งทีเดียว ผู้เป็นน้องชายจึงจ้องจะหาทางกำจัดพี่สาว ส่วนพระนางคลีโอพัตราก็อยากจะกำจัดน้องชายเสียให้สิ้นเรื่อง แต่ในเวลานั้น พระนางยังไม่ทรงแน่ใจ ในอำนาจที่มีอยู่ในมือ จึงต้องเป็นฝ่ายล่าถอยออกจากเมืองอเล็กซานเดรียเพื่อไปตั้งหลัก

พระนางเริ่มมองหาพันธมิตร เพื่อช่วยเหลือในการกำจัดฟาโรห์ออกจากบัลลังก์ให้ได้ซึ่งเป็นช่วงประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่ โรม เริ่มรุกรานดินแดนแถบเมดิเตอร์เรเนียน โดยมี จูเลียส ซีซาร์ เป็นแม่ทัพยกมาทางอียิปต์
พระนางเห็นเป็นจังหวะเหมาะ จึงลอบเข้าเมืองเพื่อไปหา ซีซาร์

มาถึงตอนนี้ ที่เราเห็นในภาพยนตร์คือ พระนางคลีโอพัตรา ซ่อนร่างอยู่ในม้วนพรม แล้วให้ทาสแบกเข้าไปในวังที่ซีซาร์พัก เมื่อคลี่พรมออก ก็ปรากฏเรือนร่างเปลือยเปล่าของพระนางออกมาร่ายรำ แต่จริง ๆ แล้ว หาได้เป็นเช่นนั้นไม่แต่เป็นเพราะ การเจรจาที่ฉลาดเฉียบแหลมทางสติปัญญาของพระนางต่างหากที่ทำให้ จูเลียต ซีซาร์ ยอมช่วย ราชินีไอยคุปต์ให้ได้ครองบัลลังก์ แต่เพียงผู้เดียว

ซีซาร์ บัญชาการทหารให้ทำลายล้างกองทัพอียิปห์ ที่ต่อต้านพระนางคลีโอพัตรา และการสงครามในครั้งนี้ ซีซาร์ได้เผาเรือรบของตนตามแผนยุทธการ
แต่บังเอิญไฟได้ลามไปถึง หอสมุดอเล็กซานเดรีย ไหม้ส่วนที่เป็นเอกสารสำคัญเหตุการณ์เพลิงไหม้ในครั้งนนั้นได้รับการขนามนามให้เป็น " ความทรงจำของมนุษชาติ "พอเพลิงสงบก็พบศพของ ปโตเลมีที่ 13 จมอยู่ในแม่น้ำไนล์ในชุดเกราะทองครบครัน และเล่าลือกันว่า พระนางคลีโอพัตรา นั่นเองที่เป็นคนผลักลงไป

เมื่อปราศจากผู้ครองนคร ซีซาร์ในฐานะที่ตีเมืองได้ก็ต้องแต่งตั้งผู้ครองนครขึ้นมาน้องชายอายุ 12 ปีของพระนางคลีโอพัตราจึงได้เป็นปโตเลมีที่ 14
ส่วนซีซาร์และพระนางคลีโอพัตรา ก็กลายเป็นคู่เชยคู่ดังแห่งยุค เมื่อซีซาร์ยกทัพกลับกรุงโรมได้ไม่นาน พระนางคลีโอพัตราก็ตั้งครรภ์ พระนางได้ตั้งชื่อพระโอรสว่า ปโตเลมีซีซาร์ แต่คนทั่วไปเรียกว่า ซีซาร์เรียน พระนางพาโอรสมาเยือนกรุงโรมในปี 46 ก่อน ค.ศ. ตามคำเชิญของซีซาร์ ซึ่งทำการต้อนรับพระนางอย่างยิ่งใหญ่ พระนางนั้นหวังว่า ซีซาร์จะแต่งตั้งโอรสให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจ แต่ว่า จูเลียต ซีซาร์ ก็ต้องมาถูกฆ่าตายกลางสภาในกลางเดือนมีนาคมปี 44 ก่อน ค.ศ. นั่นเอง ก่อนตายเขาได้แต่งตั้งหลานชายคือ อ๊อคตาเวีย ขึ้นครองกรุงโรมพระนางคลีโอพัตราจึงต้องพาโอรสกลับอเล็กซานเดรียด้วยความผิดหวัง

" ความรัก คลีโอพัตรา มาร์ค แอนโทนี่ "

พระนางคลีโอพัตรา เงียบหายไปหลายปี เพราะมัวยุ่งอยู่กับการฟื้นฟูอียิปต์ และผูกไมตรีกับเพื่อนบ้านไม่ว่าจะ ยิว หรือ อาหรับ ในที่สุด อียิปต์ก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง จนกระทั่ง มาร์คุส อันโทนิอุส หรือ มาร์ค แอนโทนี ขุนพลของโรมัน ส่งสารเชิญพระนางคลีโอพัตราไปพบ เพื่อหารือขอความช่วยเหลือ เมื่อพระนางไปพบ มาร์ค แอนโทนี่ ที่เมืองทาร์ซุส ความรักครั้งยิ่งใหญ่ก็บังเกิดขึ้น และดำเนินไปด้วยความหวานชื่น

แต่ก็ให้เกิดเหตุบังเอิญเมื่อ ฟุลเวีย ภรรยาคนที่สามก่อกบฏ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แก่อ๊อคตาเวีย และโดนประหารในที่สุด แอนโทนี จึงต้องกลับบ้าน และตกลงแต่งงานกับน้องสาวของ อ๊อคตาเวีย เพื่อสานสัมพันธ์กันใหม่

พระนางคลีโอพัตรา แทบคลั่งเมื่อได้ทราบการแต่งงานของชู้รัก
ต่อมา พระนางก็ให้กำเนิดลูกแฝดแก่ แอนโทนี และตั้งชื่อว่า อเล็กซานเดอร์ เฮลิออส และ คลีโอพัตราเซเลเน แล้วจู่ ๆ มาร์ค แอนโทนี ก็ติดต่อมาอีก ทั้งคู่จึงกลับมาคืนดีกัน ด้วยความหวานชื่นอีกครั้ง

ทางด้านกรุงโรมก็กำลังวุ่นวาย เมื่อรู้ว่า แอนโทนี กับ คลีโอพัตรา สนิทแนบแน่นกันนั้น อาจจะกำลังมีแผนการอย่างอื่นอยู่ อ๊อคตาเวีย จึงเรียกร้องให้ คลีโอพัตรา ส่งเสบียงกรังมาเป็นส่วย แต่ แอนโทนี ห้ามไว้

เมื่อแน่ใจแล้วว่า แอนโทนี กำลังแปรพักตร์ไปเข้ากับอียิปต์ อ๊อคตาเวีย จึงประกาศให้ ชาวโรม ฟังว่า แอนโทนี มีแผนจะย้ายเมืองหลวงหรือก่อกบฎนั่นเอง แอนโทนี จึงประกาศว่า อ๊อคตาเวีย ไม่ใช่ทายาทที่ถูกต้อง แต่ ซีซาร์เรียน เท่านั้น ที่เป็นทายาทตัวจริงของซีซาร์ และมีสิทธ์ครองกรุงโรม

อ๊อคตาเวีย จึงเกลี้ยกล่อม สภาซีเนท ของโรม ให้เห็นถึงอันตรายของอียิปต์ ภายใต้การปกครองของ แอนโทนี และ คลีโอพัตรา ในที่สุด โรมจึงประกาศสงครามกับอียิปต์ปี 31 ก่อน ค.ศ.

กองทัพโรมัน ก็บ่ายหน้าสู่อียิปต์ มาร์ค แอนโทนี ยกกองทัพเรือออกไป โดยมี คลีโอพัตราลงเรือของเธอไปสังเกตการณ์กองทัพของฝ่ายโรมันและอียิปต์เข้าโรมรันกันอย่างดุเดือด พระนางคลีโอพัตรา ตกพระทัยในศึกดุเดือดเบื้องหน้า จึงสั่งให้เรือของเธอกลับลำหนี เมื่อแอนโทนีหันมาเห็นเข้า ก็ถอดเสื้อเกราะทิ้ง แล้วแล่นเรือไล่ตามหลังพระนางมา

การรบเป็นอันจบสิ้น รวมทั้งชีวิตของคนทั้งสองด้วย

เมื่อพบกับความพ่ายแพ้ มาร์ค แอนโทนี จึงฆ่าตัวตายในอ้อมแขนของ พระนางคลีโอพัตรา ส่วนพระนางก็ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายตามคู่รักไป อียิปต์จึงตกเป็นของโรมันตั้งแต่นั้นมา หลักฐานของเหตุการณ์ต่าง ๆ ยังคงปรากฏให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาประวัติศาสตร์กันมาหลายยุคหลายสมัย แต่เว้นอยู่อย่างเดียวคือ ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่จะระบุสุสานของ มาร์ค แอนโทนี และ พระนางคลีโอพัตรา อยู่ที่ไหน ความลับเกี่ยวกับที่เก็บศพของคู่รักบันลือโลกคู่นี้จึงยังเป็นความลับอยู่ตลอดมา



          อาณาจักรอุษมานียะฮ์หรือออตโตมานเติร์กเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1299 หลังจากอาณาจักรเซลจูกเติร์กแห่งอนาโตเลียถูกกองทัพมงโกลรุกรานและล่มสลายในที่สุด อาณาจักรอุษมานียะฮ์ถูกสถาปนาขึ้นโดย อุษมาน และท่านอุษมานได้ประกาศตนเป็นปาดีชะห์ปกครองอาณาจักรออตโตมานที่แคว้นโซมุตทางทิศตะวันตกของอนาโตเลีย จึงนับว่าท่านเป็นสุลต่านองค์แรกแห่งราชอาณาจักนออตโตมาน (อุษมานียะฮ์) 

คำว่า อุษมานียะฮ์มาจากชื่อต้นตระกูล เป็นชื่อของสุลต่านองค์แรกของราชวงค์ ผู้สถาปนาราชอาณาจักรอุษมานียฮ์ 

ประมุขสุงสุดของอาณาจักรออตโตมาน เรียกว่า ปาดีชะห์ หรือ สุลต่าน ผู้มีอำนาจรองลงมา คือ วาซีร อะซัม (แกรนด์วิเซียร์)ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าดิวาน ซึ่งในปัจจุบันอาจหมายถึง รัฐบาล และมีอีกตำแหน่งหนึ่งเรียกว่า ไซคุลอิสลาม ทำหน้าที่ดูแลฝ่ายกิจกรรมศาสนาอิสลาม มีฐานะเท่าเทียมกับ แกรนด์วิเซียร์ ทั้งสามสถาบันถือเป็นสถาบันหลักของอาณาจักรออตโตมาน

ภาำพแผนที่ขยายดินแดนของอาณาจักรอุษมานียะฮ์

      อาณาจักรออตโตมานมีปาดีชะห์หรือสุลต่านปกครองทั้งหมด 36 พระองค์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1299-1922 การปกครองในรัชสมัยของสุลต่านสิบพระองค์แรกนับว่าเป็นสุลต่านที่มีความสามารถเข้มแข็งในการรบ เพราะต้องรักษาดินแดนของตนพร้อมกับการขยายดินแดนออกไปให้กว้างขวางยิ่งขึ้น สุลต่านองค์ที่ 2 คือ อรฮันที่ 1 ได้จัดตั้งงกองทหารราบแจนิสซารีขึ้น เพื่อเป็นกองทหารกล้าตายพิทักษ์องค์สุลต่าน เป็นผู้มีความซื่อสัตย์และจงรักภัคดีต่อสุลต่านเป็นอย่างยิ่ง แต่ในภายหลังกองทหารแจนิสซารีเป็นผู้ก่อการจลาจลเสียเอง เพราะกลัวจะเสียผลประโยชน์ บางรัชสมัยกองทหารแจนิสซารีมีอิทธิพลถึงขั้นถอดถอนแต่งตั้งสุลต่านได้ จนในที่สุดรัชสมัยสุลต่านมะห์มูดที่ 2 พระองค์ได้ปราบปรามกองทหารแจนิสซารีอย่างเด็ดขาดและได้เลิกระบบกองทหารแจนิสซารี 

 

 

 

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลการจัยในชื่อ “ภูมิทัศน์ในการนับถือศาสนาของคนทั่วโลก” โดย “พิว” (The Pew Forum on Religion & Public Life) รวบรวมข้อมูลจากสถิติในปี พ.ศ.2553 พบว่า ประชากรโลกที่ระบุว่าตัวเองเป็นคน “ไร้ศาสนา” หรือ “ไม่ผูกพันกับศาสนาใด” มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนติดอันดับ 3 ในขณะที่ศาสนาอิสลามและฮินดูมีแนวโน้มว่าคนจะนับถือมากที่สุดในโลก ส่วนศาสนายิวเป็นศาสนาที่มีแนวโน้มลดลงมากที่สุด 

 


รายงานวิจัย ระบุว่า ประชากรโลกว่า ร้อยละ 84 หรือประมาณ 6.9 ล้านคน ระบุว่าตนเองเป็นผู้นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง สำหรับศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดคือศาสนาคริสต์ โดยมีประชากรผู้นับถือกระจายอยู่ในทุกภูมิภาคของโลก

นายคอนราด แฮ็กเกตต์ นักวิเคราะห์สถิติประชากร กล่าวว่า จากการสำรวจสำมะโนประชากรตัวอย่างพบ ว่า ค่ากลางอายุของผู้ที่ระบุตัวเองว่าเป็นมุสลิมอยู่ที่อายุ 23 ปี เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของประชากรทั้งโลกที่อายุ 28 ปี จากข้อมูลจึงมีแนวโน้มว่าจะมีผู้นับถือศาสนาอิสลามเพิ่มขึ้นในอนาคต ขณะที่ศาสนายูดาย ค่ากลางอายุของผู้ที่นับถือศาสนานี้อยู่ที่ 36 ปี ขณะที่มีผู้นับถือศาสนานี้อยู่แค่เพียงแค่ 14 ล้านคนทั่วโลก หรือคิดเป็นร้อยละ 0.2 จึงมีแนวโน้มว่าจะมีผู้นับถือศาสนานี้น้อยลง สำหรับ 7 อันดับ กลุ่มศาสนาความเชื่อที่มีผู้นับถืออยู่ในปัจจุบัน ได้แก่

 


อันดับ 1 ศาสนาคริสต์ มีผู้นับถืออยู่ทั่วโลกสูงถึง 2.2 พันล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 31.5 ของประชากรโลก แบ่งเป็ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกประมาณร้อยละ 50 นิกายโปรแตสแตนท์ นิกายแองกลิคัน และนิกายกรีกออร์โธดอกซ์ รวมกันร้อยละ 37 ส่วนนิกายออร์โธดอกซ์ รวมกันร้อยละ 12


 


อันดับ 2 ศาสนาอิสลาม สำหรับประชากรชาวมุสลิมทั่วโลกขณะนี้มีอยู่ประมาณ 1.6 พันล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 23 ของประชากรโลก ซึ่งคิดเป็นศาสนาอิสลามนิกายซุนนีย์ถึงร้อยละ 87 ถึง 90 ส่วนมุสลิมชีอะฮ์ คิดเป็นร้อยละ 10 ถึง 13

 



อันดับ 3 สำหรับผู้ที่ระบุว่าไร้ศาสนา หมายถึง ผู้ที่แสดงตนว่าไม่ได้นับถือศาสนาใด ๆ เลย เช่น ผู้ที่ปฏิเสธการมีพระเจ้า หรือไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง หรือผู้ที่มีศรัทธาในจิตวิญญาณซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับศาสนาใด มีจำนวน 1.1 พันล้านคนทั่วโลก และกว่า 700 ล้านคนในจำนวนนี้ หรือคิดเป็นร้อยละ 62 อาศัยอยู่ในประเทศจีน ซึ่งจำนวนดังกล่าวนี้คิดเป็น 52.2 เปอร์เซ็นต์ของชาวจีนทั้งประเทศ รองลงมาคือประเทศญี่ปุ่น โดยมากกว่า 72 ล้านคน หรือคิดเป็น ร้อยละ 57 ของประชากรทั่วโลก อันดับ 3 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 51 ล้านคน คิดเป็นร้อละ 16.4 ของชาวอเมริกันทั้งประเทศ
 


อันดับ 4 ศาสนาฮินดู เป็นศาสนาที่มีจำนวนผู้นับถือกระจุกอยู่เพียงในอินเดียมากที่สุดในโลกถึงร้อยละ 94 ผู้คนที่นับถือศาสนาฮินดูมีอยู่มากในประเทศอินเดีย เนปาล และบังคลาเทศ

 


อันดับ 5 ศาสนาพุทธ ครึ่งหนึ่งพุทธศาสนิกชนทั่วโลกอาศัยอยู่ในประเทศจีน รองลงมาคือประเทศไทย ร้อยละ 13.2 และอันดับ 3 คือที่ญี่ปุ่น ร้อยละ 9.4%

 


อันดับ 6 กลุ่มศาสนาเล็ก ๆ เช่น บาไฮ ลัทธิเต๋า เจนไน ชินโต ซิกข์ เทนริเคียว วิคคา และโซโรอัสเตอร์ มีผู้นับถือรวมกันประมาณเกือบร้อละ 1 หรือ 58 ล้านคนทั่วโลก ส่วนมากอยู่ในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิค 

 


อันดับ 7 กลุ่มผู้ที่นับถือธรรมชาติ กราบไหว้ภูติผีและเทพเจ้าอื่น ๆ ตามความเชื่อของบรรพบุรุษ มีประมาณ 405 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 6 ของประชากรทั้งโลก โดยส่วนใหญ่พบในทวีปแอฟริกา ประเทศจีน หรือชาวอินเดียนแดง และอะบอริจิ้น

 


อันดับ 8 ศาสนายิว มีผู้นับถือศาสนานี้ในประเทศอิสราเอล โดยคิดเป็นร้อยละ 40.5 ของชาวยิวทั่วโลก ส่วนชาวยิวในประเทศสหรัฐฯ มีอยู่ถึงร้อยละ 41.1

บีทรูท หรือ บีตรูต (อ่านว่า บีท-รูท) มีชื่อเรียกอื่นว่า ผักกาดฝรั่ง ผักกาดแดง

บีทรูท เป็นผักเพื่อสุขภาพประจำเมืองหนาวที่ปลูกกันมากทางภาคเหนือของบ้านเรา โดยมีต้นกำเนิดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน แถบยุโรป โดยมีรากหรือหัวพืชที่สะสมอาหารอยู่ใต้ดิน มีลักษณะทรงกลมป้อม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-5 เซนติเมตร เนื้อด้านในอวบน้ำ มีสีแดงเลือดหมู ม่วงแดง และเหลือง

การเลือกซื้อและการเก็บรักษาบีทรูท สำหรับการเลือกซื้อควรเลือกหัวบีทรูทที่มีขนาดเล็ก เพราะจะมีเนื้อละเอียดและให้รสหวานมากกว่าหัวบีทรูทขนาดใหญ่ มีผิวไม่เหี่ยว จับดูเนื้อแล้วไม่นิ่ม แต่ถ้าใบติดอยู่ด้วย ก็ให้เลือดหัวที่ใบยังสดอยู่ แล้วนำมาตัดใบให้เหลือก้านประมาณ 3 เซนติเมตร หลังจากนั้นนำไปล้างน้ำให้สะอาด แล้วเก็บใส่ในถุงตาข่ายวางไว้ในที่ร่ม หรือจะนำมาแช่ในตู้เย็นตรงช่องเก็บผักก็ได้ ซึ่งจะเก็บไว้ได้นานถึง 2 อาทิตย์

หัวบีทรูท มีสารสีแดงที่มีชื่อว่า บีทานิน (Betanin) ซึ่งเป็น กรดอะมิโน เป็นตัวช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยลดการเติบโตของเนื้องอกได้ แถมยังทำให้เลือดลมและระบบการไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดีมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีสารสีม่วงที่มีชื่อว่า แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดสารก่อมะเร็ง และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและอัมพาตได้อีกด้วย !

โดยบีทรูทจะมีขายทางภาคเหนือซะเป็นส่วนมาก และมีขายทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ แต่ถ้าเป็นกรุงเทพก็หาซื้อได้ที่ ตลาด อ.ต.ก, ตลาดไทย, ตลาดสี่มุมเมือง และในห้างต่าง ๆ โดยราคาของบีทรูทก็อยู่ที่ประมาณ 45-70 บาทต่อ 1 กิโลกรัม

ประโยชน์ของบีทรูท
เนื้อของบีทรูทเต็มไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งช่วยบำรุงสายตา วิตามินบีรวม ตลอดจนมีสารสีแดงในหัวคือ เบทานิน (betanin) เป็นกรดอะมิโนที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง ช่วยทำให้เลือดลมดี และการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น นอกจากนี้ส่วนประกอบสีแดงของบีทรูท หรือที่เรียกว่า สารเบทานิน (Betanin) อุดมไปด้วยวิตามินซี นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มออกซิเจนให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ถึง400% จึงช่วยให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง 

ผลข้างเคียงจากการรับประทานบีทรูท
การรับประทานอาหารที่ทำมาจากบีทรูทมากเกินไป จะทำให้ปัสสาวะ เป็นสีชมพูหรือสีแดง ซึ่งอาจจะทำให้เข้าใจผิด คิดว่าเป็นเลือดในปัสสาวะ อาการนี้เรียกว่า "บีทูเรีย" (beeturia) เกิดขึ้นเนื่องจากการกินบีทรูทมากเกินไป ซึ่งทำให้เม็ดสีที่ชื่อ บีทาเลียน (betalian) ในร่างกายมีจำนวนมากขึ้น และเมื่อมันเพิ่มจำนวนขึ้น กลไกของร่างกายจะทำการขจัดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะขับออกมาทางปัสสาวะนั่นเอง แต่อาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน จะมีเพียง 10-14% ของประชากรทั้งหมดเท่านั้น และจากการได้รับแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) มากเกินไป ซึ่งบีทรูทเป็นหนึ่งใน อาหาร ที่มี oxalates ที่จะทำให้ร่างกายไม่ดูดซึม แคลเซียม เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดนิ่วในไตได้

นิ่วชนิดที่เกิดจากแคลเซียม พบได้บ่อยที่สุด ประมาณ 75-85% ของนิ่วในไตทั้งหมด ซึ่งชนิดที่พบบ่อย คือ แคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate, สาร oxalate เป็นสารพบในพืช โดยเฉพาะผัก ยอดผักต่างๆ และถั่ว) เป็นนิ่วชนิดพบบ่อยในผู้ชาย เป็นนิ่วที่ตรวจพบได้จากการเอกซเรย์ภาพไต



>วิธีแก้ไขปัญหาสายตาสั้นแบบธรรมชาติ<

1. ใส่แว่นเฉพาะตอนที่จำเป็น

See-without-glasses-tricks

หากสวมแว่นเป็นประจำ จะทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายเกินไป ลองถอดแว่นแล้วอ่านหนังสือโดยเอาหนังสือออกห่างจากดวงตามากเท่าที่จะมองเห็นได้ หากทำบ่อยๆจะช่วยให้กล้ามเนื้อสายตาปรับตัว และทำให้มองเห็นได้ดียิ่งขึ้นค่ะ

 

สำหรับสาวๆคนไหนที่สายตาไม่เท่ากัน แนะนำให้ปิดตาข้างหนึ่งแล้วค่อยอ่านตามวิธีข้างบน สลับกันไปมา หรือถ้าสายตาไม่เท่ากันเพียงแค่นิดเดียว ก็อ่านพร้อมๆกันไปเลยจ้า

 

2. กระพริบตาบ่อยๆ

Woman-eyes-problem

กระพิบตาอย่างน้อย 1 ครั้งต่อ 10 วินาที จะช่วยให้กล้ามเนื้อตาผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียดจ้ะ (ไม่ต้องนับเป้ะๆก็ได้นะ ขอแค่ทำบ่อยๆก็พอ)

 

3. บริหารกล้ามเนื้อตา

__ABNEYSERVER_Users_brett_My_Documents_My_Pictures_Payton

ให้ชำเลืองตาขึ้นข้างบนสัก 5 วินาที ต่อด้วยลงล่างอีกสัก 5 วินาที จากนั้นซ้าย 5 วินาที และขวาอีก 5 วินาที เสร็จแล้วพักตาสักแปบแล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง ควรทำเป็นประจำวันละอย่างน้อย 10 นาทีค่ะ

 

4. บำบัดด้วยน้ำเย็น

astigmatism_can_be_corrected_by_using_toric_lenses_ngm47

ก่อนอาบน้ำให้เตรียมน้ำเย็นๆสักกาละมังเล็กๆ จากนั้นทำมือเป็นรูปถ้วยแล้วตักน้ำมาแตะๆที่ตา ทำเรื่อยๆสัก 10 นาทีต่อวัน และทำเป็นประจำวันละสองครั้ง น้ำเย็นจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายได้เช่นกันจ้ะ

 

5. บำบัดด้วยมโนภาพ

reading

ขณะที่อ่านหนังสือ ให้เลือกคำ 1 คำแล้วจำไว้ให้ขึ้นใจ จากนั้นให้ยื่นหนังสือออกไปให้ไกลสุดจนมองเห็นแบบเบลอๆแล้วหลับตาลง นึกภาพในใจเอาไว้แล้วลืมตาแล้วเพ่งไปที่คำนั้น กล้ามเนื้อตาจะค่อยๆปรับโฟกัสให้ดีขึ้นอย่างอัตโนมัติ (ลองทำทุกวัน วันละ 10 นาที)

 

6. บำบัดด้วยอุ้งมือ

shutterstock_86444608

ก่อนนอนให้เอนตัวลงบนเก้าอี้หรือเบาะที่นั่งสบายๆ จากนั้นเอาอุ้งมือปิดตาทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้มีแสงใดๆเล็ดลอดเข้ามาได้ ดวงตาจะรู้สึกสบายและผ่อนคลายส่วนกล้ามเนื้อมากขึ้นค่ะ (ทำทุกวันก่อนนอน วันละอย่างน้อย 45 นาทีนะคะ)

 แปลและเรียบเรียงโดย raraROBYN

ที่มา dek-d
โรคไซนัสคืออะไร 
คำว่าไซนัสไม่ใช่ชื่อโรค แต่เป็นชื่อของช่องว่างหรือโพรงอากาศ ของกระดูกใบหน้าบริเวณโหนกแก้มรอบโพรงจมูก, รอบตาและฐานของกระโหลกศีรษะ ถึงแม้ว่าโพรงอากาศนี้จะเป็นที่ว่างเปล่า แต่ภายในโพรงนี้จะบุด้วยเยื่อเมือกบาง ๆ ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับเยื่อบุโพรงจมูก และเจ้าตัวไซนัสนี้ไม่ใช่ช่องว่างที่ไม่มีประโยชน์ เรายังเชื่อกันว่าโพรงไซนัส มีประโยชน์คือ เป็นตัวทำให้เสียงพูดของคนเรามีความก้องกังวาน ไพเราะมากขึ้น และเป็นตัวช่วยปรับสภาพของอากาศที่หายใจเข้าไป ให้มีสภาพความชื้น, อุณหภูมิ และความบริสุทธิ์ ที่เหมาะสมกับร่างกายของเราและเนื่องจากโพรงไซนัสเป็นช่องว่าง ดังนั้น มันจึงเปรียบเหมือนกับโช๊คอัพช่วยลดแรงกระแทกต่าง ๆ ที่จะเข้าไปทำความกระทบกระเทือนกับสมองส่วนในได้อีกด้วย แต่ในปัจจุบัน มีนักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์บางท่านไม่เชื่อในความจริงเหล่านี้ กลับให้ความเห็นว่าโพรงไซนัสนี้ไม่มีประโยชน์กับร่างกายของมนุษย์เลย แล้วตัวท่านจะเลือกเชื่ออย่างไรดี

 ไซนัสผิดปกติเป็นอย่างไร 

ไซนัสที่ผิดปกติ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ เป็นเนื้องอกหรือมะเร็งในโพรงไซนัสซึ่งกลุ่มนี้จะพบได้น้อย ส่วนกลุ่มใหญ่ที่พบได้บ่อยในคนทั่ว ๆ ไป คือ โรคไซนัสอักเสบ ซึ่งมีสาเหตุมาจาก การติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา ในโพรงไซนัส
เป็นที่ทราบกันแล้วว่า โพรงไซนัส คือช่องว่างที่มีเยื่อเมือกบาง ๆ บุอยู่ ช่องเหล่านี้จะมีรูเปิดเล็ก ๆ เชื่อมต่อกับโพรงจมูก ทำให้อากาศภายนอกสามารถไหลเวียนกันระหว่างโพรงจมูกและโพรงไซนัสได้ เนื่องจากว่ารูเปิดของไซนัสมีขนาดเล็กมาก ถ้ามีอะไรมาทำให้รูเปิดนี้แคบลงหรืออุดตัน เช่นในภาวะที่เป็นหวัด ก็จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาทันที เพราะเมื่อรูเปิดนี้อุดตัน ก็จะทำให้อากาศที่เคยไหลเวียนอยู่เกิดการหยุดนิ่ง อ๊อกซิเจนในอากาศจะถูกดูดซึมไป ทำให้ความดันอากาศในโพรงไซนัสเกิดเป็นลบ มีผลทำให้เยื่อบุไซนัสเกิดการบวม และมีการคั่งของน้ำเมือกในโพรงไซนัล ทำให้เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคหวัด เกิดการเจริญเติบโตขึ้นในโพรงไซนัส ซึ่งก็จะทำให้เกิดการอักเสบ และมีหนองคั่งในโพรงไซนัสขึ้น แต่ภาวะไซนัสอักเสบนี้ไม่ได้เกิดกับคนที่เป็นหวัดทุกคนไป ดังนั้น จึงไม่ต้องกลัวว่าถ้าเป็นหวัดแล้ว จะเกิดความรุนแรงจนถึงขั้นเป็นไซนัสอักเสบตามมาเสมอ
สาเหตุของไซนัสอักเสบที่กล่าวมาข้างต้น เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นอีก คือเกิดจากการอักเสบของรากฟันบนแล้วลุกลามเข้าไปในไซนัส เพราะรากฟันบนจะอยู่ชิดกับฐานของไซนัสบริเวณโหนกแก้ม

 ถ้าเราเป็นหวัดจะมีโอกาสเกิดไซนัสอักเสบบ่อย ไหม 

ในเรื่องนี้ยังไม่มีสถิติที่ชัดเจน สำหรับในประเทศไทย เคยมีผู้รายงานว่า พบโรคไซนัสอักเสบได้ร้อยละ 3-5 ของผู้ป่วยที่มาตรวจที่คลีนิกหู คอ จมูก แต่ไม่ได้ระบุว่าโรคไซนัสอักเสบนี้มีสาเหตุมาจากโรคหวัดหรือไม่ แต่ในรายงานของต่างประเทศพบว่าจะเกิดภาวะไซนัสอักเสบได้ประมาณร้อยละ 0.5 ของการเป็นหวัด นั่นคือ ถ้าเราเป็นหวัด 200 ครั้ง ก็อาจเกิดไซนัสอักเสบได้ 1 ครั้ง นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าพบภาวะไซนัสอักเสบได้บ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้และโรคหืด ถ้าดูตามสถิติแล้วจะพบว่าโอกาสเกิดไซนัสอักเสบจะมีค่อนข้างน้อยแต่ยังมี ปัจจัยด้านอื่นที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดไซนัสอักเสบได้ง่ายขึ้น คือ
โรคภูมิแพ้ ในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ จะมีอาการคันในจมูก, น้ำมูกไหล, คัดจมูก ทำให้ต้องขยี้จมูกและสั่งน้ำมูกบ่อย จึงทำให้เกิดการอุดตันบริเวณเปิดไซนัสได้ง่าย จึงเกิดไซนัสอักเสบง่ายขึ้น
โรคหวัดเรื้อรัง ในผู้ป่วยที่เป็นหวัดตลอดทั้งปี ก็จะมีอาการคล้ายผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ จึงทำให้เกิดไซนัสอักเสบได้ง่าย
ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของโพรงจมูก เช่น ผนังกั้นช่องจมูกคด, เป็นริดสีดวงจมูก, เป็นเนื้องอกในจมูก หรือมีสิ่งแปลกปลอมในจมูก ซึ่งพบบ่อยในเด็กเล็ก ในผู้ป่วยเหล่านี้ ก็จะมีการอุดตันของรูเปิดไซนัสได้ง่ายเช่นกัน
ในคนที่ชอบใช้ยาพ่นจมูกโดยมิได้ปรึกษาแพทย์ เพราะยาพ่นจมูกบางตัวจะทำให้เกิดภาวะติดยา และเยื่อจมูกบวมเรื้อรังได้ และยังทำให้ความสามารถในการดมกลิ่นลดลง
การสูบบุหรี่จัด, การว่ายน้ำบ่อย ๆ หรือดำน้ำลึก ๆ และมีฟันด้านบนผุ ก็จะทำให้เกิดไซนัสอักเสบได้ง่ายขึ้น
การเดินทางโดยเครื่องบินในขณะที่เป็นโรคหวัด เพราะขณะที่เครื่องบินขึ้น-ลง จะมีการเปลี่ยนแปลงความกดดันอากาศอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เกิดภาวะไซนัสอักเสบได้

 จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นไซนัสอักเสบ 

โดยทั่วไปผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบ มักจะมีอาการของโรคหวัด หรือโรคภูมิแพ้นำมาก่อน กล่าวคือ จะมีน้ำมูก, คัดจมูก และอาการไอ อาการตามมาที่บ่งชี้ว่าจะเป็นไซนัสอักเสบจะมีดังนี้ คือ
1. ปวดศีรษะ หลังจากผู้ป่วยมีอาการของโรคหวัดแล้ว จะมีอาการ ปวดบริเวณโพรงอากาศที่อักเสบ เช่น ปวดแก้ม, ปวดบริเวณหัวตาทั้งสองข้าง, ปวดบริเวณหน้าผาก หรืออาการปวดในกระบอกตาทั้งสองข้างอาการปวดเหล่านี้ จะเป็นอาการปวดแบบตื้อ ๆ บางครั้งจะมีอาการ มึนศีรษะร่วมกับอาการปวด และจะมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อผู้ป่วยก้มศีรษะลง 
2. คัดจมูกแน่นจมูก ผู้ป่วยจะเป็นตลอดเวลาถึงแม้ว่าจะทานยารักษาโรคหวัดแล้วก็ตามอาการนี้จะยังไม่หายไป บางครั้งคัดจมูกมาก จนต้องหายใจทางปาก 
มีน้ำมูกและเสมหะสีเหลืองเขียว ถึงแม้ว่าผู้ป่วยทานยาแก้อักเสบรักษาโรคหวัด อาการน้ำมูกสีเหลืองเขียวก็ยังไม่หายไป บางครั้ง น้ำมูกจะไหลออกมาเองโดยไม่รู้ตัว บางครั้งก็จะมีความรู้สึก เหมือนมีน้ำมูกไหลลงคออยู่เรื่อย ๆ และในรายที่เป็นมาก ๆ จะมีกลิ่นเหม็นในจมูกซึ่งสามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง 
3. มีไข้ ผู้ป่วยบางรายจะมีไข้สูงจนหนาวสั่น ในขณะที่มีไขสูง ก็จะมีอาการปวดศีรษะและปวดหน้าร่วมด้วย 
4. อาการไอ มีผู้ป่วยบางส่วนมักมีอาการที่กล่าวมาไม่มากนัก แต่จะมีอาการไอเรื้อรังเป็นเวลานาน บางครั้งอาการหวัดหายไปแต่ยังมีอาการไออยู่ และเป็นอาการไอแบบมีเสมหะขันร่วมด้วย 
5. ในผู้ป่วยเด็ก มักมีอาการไม่ชัดเจนเท่าในผู้ใหญ่ แต่อาการที่น่าคิดถึงไซนัสอักเสบในเด็ก คืออาการหวัดเรื้อรัง เป็นเวลานาน ๆ, อาการไออย่างรุนแรง และลมหายใจมีกลิ่นเหม็น นอกจากนี้เด็กที่มีอาการของหูอักเสบเรื้อรังและหอบหืด ก็ควรนึกถึงโรคไซนัสอักเสบร่วมด้วย

 เมื่อมีอาการที่กล่าวมาควรจะทำอย่างไร 

เมื่อมีอาการเหล่านี้แล้วก็ต้องมาปรึกษาแพทย์ทางหู คอ จมูกโดยเร็ว เพื่อแพทย์จะได้ทำการตรวจวินิจฉัย และให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป ซึ่งขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยก็จะแบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้
1. การตรวจโดยใช้เครื่องมือทางหู คอ จมูกทั่วไป แพทย์จะใช้เครื่องมือส่องตรวจในรูจมูก, ด้านหลังจมูกและในคอ ซึ่งมักจะพบหนองในบริเวณดังกล่าว บางครั้งแพทย์จะกด หรือเคาะบริเวณหน้าผาก และโหนกแก้ม ซึ่งจะพบอาการเจ็บได้ในผู้ป่วยบางราย 
2. การตรวจโดยใช้กล้องส่องในจมูก ในปัจจุบันจะมีเครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า SINUSCOPE ซึ่งเป็นเครื่องมือขนาดเล็กมาก ใช้ส่องเข้าไปในจมูก ซึ่งจะพบหนองในจมูกและบางครั้งก็จะบอกถึงตำแหน่งที่เกิดการอักเสบ หรือบอกสาเหตุการอุดตันของรูเปิดไซนัสได้ การตรวจชนิดนี้จะใช้ยาชาเฉพาะที่ โดยที่ผู้ป่วยจะไม่เจ็บและไม่ต้องนอนพักหลังการตรวจ บางครั้งแพทย์จะต่อเครื่องมือเข้ากับโทรทัศน์ให้ผู้ป่วยได้เห็นพยาธิสภาพในจมูกด้วย 
3. การถ่ายภาพทางรังสี ซึ่งต้องกระทำทุกรายในผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบ เพื่อจะได้ยืนยันถึงตำแหน่งของไซนัสที่เกิดการอักเสบ, เพื่อบอกถึงความรุนแรงของการอักเสบ, เพื่อบอกถึงระยะเวลาว่าเป็นการอักเสบที่เกิดใหม่ หรือเป็นเรื้อรังมานาน และยังใช้เป็นการติดตามผลการรักษาได้อีกด้วย การถ่ายภาพรังสีจะมีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ การถ่ายภาพรังสีธรรมดา ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย และเสียค่าใช้จ่ายน้อย แต่วิธีนี้ก็ยังบอกรายละเอียดได้ไม่มากนัก อีกวิธีหนึ่งคือ การถ่ายภาพรังสีด้วยคอมพิวเตอร์ (CT scan) ซึ่งวิธีนี้จะให้รายละเอียดมาก อาจบอกถึงสาเหตุของการอุดตันบริเวณรูเปิดไซนัสได้แต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากพอสมควร 
ในปัจจุบัน มีเครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า ULTRASONOGRAPHY ซึ่งใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรคไซนัสอักเสบบริเวณแก้มได้ แต่ก็ยังไม่มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะใช้ได้ดีเฉพาะกับการอักเสบของไซนัสบริเวณแก้มเท่านั้น และยังให้ผลการตรวจวินิจฉัยที่ไม่ละเอียดเพียงพอ 
เมื่อผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้วว่าเป็นไซนัสอักเสบ ขั้นตอนต่อไป ก็ต้องให้การรักษาโดยทันที ซึ่งการรักษาจะมีอยู่หลายวิธีที่แพทย์จะนำมาใช้กับผู้ป่วยในแต่ละรายแตกต่างกันไป ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและระยะเวลาที่ผู้ป่วยเป็นมา วิธีการรักษาก็จะมีดังต่อไปนี้ คือ 
1. การรักษาทางยา จะเป็นการรักษาที่ใช้กับผู้ป่วยทุกราย เป็นที่ทราบกันแล้วว่าโรคไซนัสอักเสบ มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้นยาที่ใช้เป็นหลักในการรักษาก็คือ ยาปฏิชีวนะสำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ให้ตรงตามเชื้อที่ทำให้เกิดโรค ในรายที่มีการติดเชื้อราร่วมด้วย ผู้ป่วยก็จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดและอาจได้รับยาฆ่าเชื้อราร่วมด้วย สำหรับยาชนิดอื่น ที่จำเป็นต้องใช้ร่วมไปด้วยก็จะมียาลดการบวมของเนื้อเยื่อ, ยาแก้ปวด และยาละลายเสมหะ เพื่อทำให้หนองที่อยู่ในไซนัสไหลออกมาได้ ส่วนยาแก้แพ้ มักไม่ค่อยใช้ในระยะเริ่มแรก เพราะทำให้สารน้ำที่อยู่ในไซนัสมีความข้นมากขึ้น และจะไหลออกมาได้ยากขึ้น แพทย์บางท่านอาจแนะนำให้ใช้ยาพ่นจมูกร่วมด้วย เพื่อทำให้เยื่อบุจมูกยุบบวมได้เร็วขึ้น หนองในไซนัสก็ไหลออกมาได้ง่ายขึ้นแต่ ยาพ่นจมูกนี้ควรใช้ในระยะเริ่มแรก เท่านั้น และไม่ควรใช้นานเกินกว่าหนึ่งสัปดาห์ 
2. การรักษาด้วยวิธีเจาะล้าง จะกระทำในรายที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ดีขึ้น หรือในรายที่อาการอักเสบหลายครั้ง และมีอาการมากกว่า 3 สัปดาห์ การเจาะล้างนี้ส่วนใหญ่จะกระทำกับไซนัสบริเวณโหนกแก้ม โดยแพทย์จะให้ยาชาเฉพาะที่ ที่บริเวณผนังจมูกด้านข้าง แล้วจะใช้เข็มเล็ก ๆ เจาะหรือสอดผ่านรูเปิดเข้าไปในโพรงไซนัส หลังจากนั้นก็จะใช้น้ำเกลือฉีดล้าง เพื่อให้หนองไหลออกมาจากโพรงไซนัส ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้หลังเจาะล้างเสร็จ การเจาะล้างโพรงไซนัส บางครั้งอาจต้องกระทำหลายครั้ง ร่วมกับการรักษาทางยาจนกว่าอาการของโรคจะดีขึ้น 
3. การรักษาด้วยการผ่าตัด จะกระทำในผู้ป่วยที่เป็นเรื้อรังมานานมากกว่า 3 เดือน, ในรายที่ตรวจพบว่าเยื่อบุไซนัสหนาตัวมาก, หรือในรายที่มีความผิดปกติบริเวณรูเปิดไซนัส เช่น เป็นริดสีดวงจมูก เป็นเนื้องอกในจมูก เป็นต้น การผ่าตัดไซนัสนี้ จะกระทำได้ทั้งใช้ยาชาเฉพาะที่หรือใช้การดมยาสลบ แต่ผู้ป่วยมักจะต้องนอนในโรงพยาบาลประมาณ 5-7 วัน การผ่าตัดไซนัส ยังมีวิธีการทำได้หลายวิธี เช่น การผ่าตัดผ่านทางรูจมูก, การผ่าตัดผ่านทางเหงือก, การผ่าตัดด้วยกล้อง ENDOSCOPE เป็นต้น ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดนี้ก็จะต้องได้รับการรักษาทางยาร่วมไปด้วยทุกราย

 จะมีโอกาสหายหรือมีโรคแทรกซ้อนได้หรือไม่ 

ผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบในระยะเริ่มแรกและมีอาการน้อย เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องแล้ว มักจะหายได้ใน 2 สัปดาห์ และมักไม่กลับมาเป็นอีก แต่ผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังหรือมีปัจจัยอื่นส่งเสริมให้เกิดไซนัสอักเสบ หรือเป็นริดสีดวงจมูกร่วมด้วย ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน และก็ต้องปฏิบัติตัวให้ถูกต้องเพื่อตัดปัจจัยส่งเสริมที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นออกไป
ในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ก็มักจะมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น เกิดการอักเสบของกระดูกบริเวณหน้า, การอักเสบรอบ ๆ ดวงตา, การอักเสบของเยื่อบุคอเรื้อรัง, การอักเสบของหูชั้นกลาง, การอักเสบของหลอดลม ถ้าเชื้อลุกลามเข้าไปในสมอง ก็จะเกิดอักเสบของเยื่อหุ้มสมองตามมา เป็นต้น

 แล้วควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรดี 

ตามที่ได้กล่าวมาในตอนต้น ถึงสาเหตุการเกิดและอาการของไซนัสอักเสบแล้วนั้น ก็พอจะสรุปถึงข้อควรปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดไซนัสอักเสบ หรือเพื่อให้หายจากโรคนี้โดยเร็ว ดังนี้ 
1. เมื่อรู้ตัวว่าเป็นหวัด ควรรีบรักษาให้หายโดยเร็ว 
2. ถ้าเป็นโรคภูมิแพ้ด้วย ก็ควรรักษาอย่างต่อเนื่อง เช่น หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้, ใช้ยาระงับอาการแพ้อย่างต่อเนื่อง, ใช้วัคซีนรักษาโรคภูมิแพ้ เป็นต้น 
3. ควรได้รับการตรวจโพรงจมูก โดยแพทย์ทางหู คอ จมูก ปีละครั้ง 
4. ไม่ควรใช้ยาพ่นจมูกโดยมิได้ปรึกษาแพทย์ 
5. ควรลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น สูบบุหรี่, ว่ายน้ำบ่อย ๆ, ดำน้ำ เป็นต้น 
6. ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคหวัด ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางโดยเครื่องบิน หรือถ้าจำเป็นก็ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อขอใช้ยาพ่นจมูกร่วมกับยารับประทาน 
7. ควรจัดสภาพที่อยู่อาศัยและที่ทำงานให้ถูกสุขลักษณะ, ไม่ควรให้มีฝุ่นมาก, อากาศถ่ายเทได้สะดวก เป็นต้น
Cr.น.อ.ศักดา สุจริตธรรม

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก

อันดับ 10. Great Basin Desert
ทะเลทรายเกรทเบซิน อยู่ทวีปอเมริกาเหนือ ทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา มีพื้นที่ทั้งหมด 492,000 ตารางกิโลเมตร
ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันดับ 9. Syrian Desert
ทะเลทรายซีเรีย ครอบคลุมพื้นที่ในเขตประเทศซีเรีย อิรัก ซาอุดิอารเบีย จอร์แดน และส่วนหนึ่งของอิสราเอล ภูมิภาคเอเชียตะวันออกกลาง มีพื้นที่ทั้งหมด 492,000 ตารางกิโลเมตร
ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันดับ 8. Great Victoria Desert
ทะเลทรายเกรทวิคตอเรีย อยู่ทางตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย ตั้งอยู่ระหว่าง ทะเลทรายกิบสัน กับ ที่ราบนัลลาร์บอร์ มีเนื้อที่ประมาณ 424,000 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่โล่ง แห้งแล้ง กว้างใหญ่ แทบจะไม่มีพืชเจริญเติบโต จะมีก็เพียงหญ้าสนามสปินิเฟกซ์
ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันดับ 7. Patagonian Desert
ทะเลทรายปาตาโกเนีย อยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ ในเขตที่ราบสูงปาตาโกเนีย ประเทศอาร์เจนติน่า และ ชิลี มีพื้นที่ทั้งหมด 670,000 ตารางกิโลเมตร
ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันดับ 6. Kalahari Desert
ทะเลทรายคาลาฮารี ครอบคลุมเนื้อที่ 5 ประเทศ ได้แก่ แอฟริกาใต้ อังโกล่า นามิเบีย บอสวาน่า และ ซิมบับเว มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 900,000 ตารางกิโลเมตร ขนาดใหญ่มากกว่า 2 เท่าของประเทศไทย!
ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันดับ 5. The Gobi Desert
ทะเลทรายโกบี อยู่บริเวณรอยต่อระหว่าง ประเทศมองโกเลียตอนใต้ กับ เขตปกครองตนเองมองโกเลียทางตอนเหนือของประเทศจีน โกบี เป็นทะเลทรายที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเหนือระดับน้ำทะเล 900-1,500 เมตร ทอดตัวโค้งยาว 1,600 กิโลเมตร ภูมิศาสตร์ด้านตะวันออกเป็นหินล้วน ด้านตะวันตกเป็นทราย มีพื้นที่ทั้งหมด 1.3 ล้านตารางกิโลเมตร ใหญ่ประมาณรัฐอลาสก้าของสหรัฐอเมริกา!
ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันดับ 4. Arabian Desert
ทะเลทรายอาหรับ อยู่ในคาบสมุทรอาหรับ ประเทศซาอุดีอาระเบีย และมีพื้นที่ในเขตประเทศจอร์แดน อิรัก คูเวต กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน และเยเมน ตรงกลางมีทะเลทรายรุบัลคอลีง มีพื้นที่ทั้งหมด 2,330,000 ตารางกิโลเมตร
ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันดับ 3. Sahara Desert

ทะเลทรายสะฮารา อยู่ในทวีปแอฟริกา เป็นดินแดนแห้งแล้ง มีพื้นที่กว่า 9,000,000 ตารางกิโลเมตร อาณาเขตด้านทิศตะวันตกจรดมหาสมุทรแอตแลนติก ทิศเหนือคือเทือกเขาแอตลาสและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันออกจรดทะเลแดงและประเทศอียิปต์ ทิศใต้จรดประเทศซูดานและหุบเขาของแม่น้ำไนเจอร์
ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันดับ 2. Arctic Desert

อาร์กติก พื้นที่บริเวณขั้วโลกเหนือ ครอบคลุมพื้นที่หลายประเทศ เช่น แคนาดา กรีนแลนด์ รัสเซีย สหรัฐอเมริกา ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์ รวมถึงบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกด้วย พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ปราศจากพืชพันธุ์ มีพื้นที่ทั้งหมด 13,700,000 ตารางกิโลเมตร
ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันดับ 1. Antarctic Desert
แอนตาร์กติกา เป็นทวีปที่อยู่รอบขั้วโลกใต้ของโลก ล้อมรอบด้วยมหาสมุทร ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอาร์กติกที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ แอนตาร์กติกา ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน กั้นโดยเทือกเขาทรานส์แอนตาร์กติก ถือเป็น ดินแดนที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุดในโลก พื้นที่เกือบทั้งหมดปกคลุมด้วยน้ำแข็ง และนับเป็นดินแดนที่แห้งแล้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่มีมนุษย์ตั้งรกรากอยู่อาศัยอย่างถาวร สิ่งมีชีวิตท้องถิ่น ได้แก่ เพนกวิน แมวน้ำ และสาหร่าย มีพื้นที่ทั้งหมด 13,829,430 ตารางกิโลเมตร
Cr. Mthai