วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

 มาเก๊า (Macau) เป็นเมืองที่ผสมผสานไปด้วยวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกอย่างลงตัว สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลกนั้น มีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และแหล่งบันเทิงอย่างคาสิโนขนาดใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นลาสเวกัสแห่งโลกตะวันออกเลยก็ว่าได้ นับว่าเป็นอีกเมืองที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล วันนี้กระปุกดอทคอมเลยหยิบเอา 10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในมาเก๊าจาก china.org.cn มาฝากกันด้วย ใครที่กำลังวางแผนเดินทางไปเที่ยวมาเก๊าพักผ่อนชิล ๆ ชาร์จพลังให้ตัวเองละก็...อย่ารอช้าตามเราไปเที่ยวกันเลย

10 แหล่งท่องเที่ยวในมาเก๊า สัมผัสลาสเวกัสแห่งโลกตะวันออก

1. ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล (Ruins of St. Paul's)


          ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลที่หลงเหลืออยู่นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของโบสถ์ในอดีต และยังเป็นแลนด์มาร์กที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองด้วย โดยโบสถ์ถูกสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1580 แต่น่าเสียดายว่าถูกไฟไหม้เป็นหลายครั้งตั้งแต่ ค.ศ. 1595-1601 จนเริ่มมีการบูรณะในปี 1602 แต่ถึงแม้จะมีการซ่อมแซมหลายครั้ง ในที่สุดก็มีการสร้างใหม่ทั้งหลังและสร้างให้มีขนาดใหญ่มากกว่าเดิม ถือได้ว่าเป็นโบสถ์คาทอลิกขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออก สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1637 แต่ซ้ำร้ายถูกไฟไหม้อีกครั้ง จนเหลือเพียงซากกำแพงด้านหน้าและบันไดหินสีขาวเท่านั้น ซึ่งก็ยังคงความสง่างามทางประวัติศาสตร์อยู่เหมือนเดิม และจากบันทึกในประวัติศาสตร์โบสถ์สร้างด้วยหินสีขาวทั้งหลังและตกแต่งอย่างอลังการ  ถัดมาในปี ค.ศ. 2005 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนโบสถ์แห่งนี้ให้เป็นมรดกโลก เพราะเป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ในอดีตของมาเก๊า

          ข้อมูลเพิ่มเติม :
 เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00-19.00 น. (เดือนพฤษภาคม-กันยายน) และ 07.00-18.00 น. (เดือนตุลาคม-เมษายน)


 10 แหล่งท่องเที่ยวในมาเก๊า สัมผัสลาสเวกัสแห่งโลกตะวันออก

2. วัดอาม่า (A-Ma Temple)

          เป็นวัดที่สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1488 หรือสมัยราชวงศ์หมิง เรียกได้ว่าวัดอาม่านั้นเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสถานที่เฉลิมฉลองเจ้าแม่มาจู่หรือเทพธิดาแห่งท้องทะเล ผู้ซึ่งปกปักษ์รักษาชาวประมงและคนเดินเรือในเมืองนั่นเอง ตัววัดตั้งอยู่บนหน้าผา ทำให้มีบรรยากาศที่เงียบสงบ ลมพัดเย็นสบาย และมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม  มีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมจีนคลาสสิกอันทรงคุณค่า นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องให้เป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ และขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2005 ด้วย


 10 แหล่งท่องเที่ยวในมาเก๊า สัมผัสลาสเวกัสแห่งโลกตะวันออก

3. คาสิโน (Casino)

          เขตบริหารพิเศษมาเก๊านอกจากจะเป็นศูนย์รวมมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมากมายแล้ว ยังเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ "ลาสเวกัสแห่งโลกตะวันออก" เพราะเป็นแหล่งอุตสาหกรรมการพนันที่ใหญ่และเฟื่องฟูมาก คล้าย ๆ กับลาสเวกัสนั่นเอง สำหรับคาสิโนที่มีชื่อเสียงนั้น มีทั้งคาสิโนที่นำเข้ามาอย่าง "เวเนเชี่ยนมาเก๊า" และยังมีคาสิโนที่มีชื่อเสียงมายาวนานอย่าง "แกรนด์ลิสบัว" ซึ่งเจ้าของธุรกิจเป็นคนมาเก๊า ทั้งนี้ แม้ว่าในมาเก๊าจะเป็นแหล่งขึ้นชื่อด้านคาสิโน แต่กฎหมายก็กำหนดห้ามไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าไปในเขตคาสิโนนะจ๊ะ

 10 แหล่งท่องเที่ยวในมาเก๊า สัมผัสลาสเวกัสแห่งโลกตะวันออก

4. มาเก๊า ฟิชเชอร์แมน วาร์ฟ (Macau Fisherman's Wharf)

          สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับท่าเรือเฟอร์รี่และที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ฮ่องกง-มาเก๊า ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินจากท่าเรือมายังฟิชเชอร์แมน วาร์ฟ โดยใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น จุดเด่นของที่นี่ คือ สถาปัตยกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงแก่นแท้ทางวัฒนธรรมของมาเก๊า พื้นที่บริเวณนี้เต็มไปด้วยร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง ที่พักอาศัย รวมถึงใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดนิทรรศการและการชุมนุมต่าง ๆ โดยมาเก๊า ฟิชเชอร์แมน วาร์ฟ ถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ ส่วนท่าเรือแห่งราชวงศ์ (Dynasty Wharf) เป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมโบราณแบบจีนในช่วงราชวงศ์ถัง, ส่วนตะวันออกพบตะวันตก (East Meets West) พื้นที่บริเวณนี้จะห้อมล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกและตะวันออก และส่วนท่าเรือในตำนาน (Legend Wharf) เป็นพื้นที่ของร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร และกาสิโน

          ข้อมูลเพิ่มเติม : เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เสียค่าเข้าชม

5. ฟอร์ทาเลซา ดู มอนเต (Fortaleza do monte)

           เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางทางทหาร และยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก เพราะถือว่าเป็นศูนย์รวมแห่งวัฒนธรรมของมาเก๊า ป้อมปราการนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดเก่าเซนต์ปอล ถูกสร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษ 16 เพื่อป้องกันการบุกรุกโบสถ์เซนต์ปอลจากพวกโจรสลัด หลังจากนั้นก็ถูกใช้เป็นป้อมปราการทางทหารแทน แต่เนื่องจากตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ผู้คนสามารถรับชมวิวได้ครบทั่วทั้งมาเก๊าเลย

          ข้อมูลเพิ่มเติม : เปิดให้บริการตั้งแต่ 06.00-19.00 น. (เดือนพฤษภาคม-กันยายน), 07.00-18.00 น. (เดือนตุลาคม-เมษายน)

 10 แหล่งท่องเที่ยวในมาเก๊า สัมผัสลาสเวกัสแห่งโลกตะวันออก

6. วัดเจ้าแม่กวนอิม (Kun Iam Temple)

          เป็นวัดพุทธที่มีความสำคัญกับชาวมาเก๊ามาก เพราะภายในมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจหลายอย่าง เช่น พระพุทธรูปล้ำค่าสำหรับสักการบูชาเพื่อชีวิตที่ยั่งยืน และรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่สวมชุดผ้าไหมอยู่บัลลังก์ที่มีชายผ้า (เปลี่ยนทุกปี) โดยมีพระพุทธรูป 18 องค์ ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งของโต๊ะบูชา โรงสวดศพ และภาพเขียนพู่กันรูปเจ้าแม่กวนอิม ส่วนด้านหลังวัดเป็นระเบียงและมีโบราณวัตถุที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างโต๊ะหินที่ใช้ในการลงนามสนธิสัญญาจีนอเมริกัน ซึ่งฉบับแรกลงเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1844 โดย คียิง อุปราชแห่งกวางตุ้ง และ คาเล็บ คุชชิง รัฐมนตรีสหรัฐอเมริกา บริเวณนี้มีต้นไทรโบราณแผ่กิ่งก้านพันกันไปมา ซึ่งชาวมาเก๊าเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความรักที่ซื่อสัตย์ของสามีภรรยา นอกจากนี้ ยังมีน้ำพุที่มีรูปร่างเหมือนภูมิประเทศจำลองของจีน

          ข้อมูลเพิ่มเติม : 
เวลาที่เปิดให้บริการตั้งแต่ 07.00-17.30 น.


 10 แหล่งท่องเที่ยวในมาเก๊า สัมผัสลาสเวกัสแห่งโลกตะวันออก

7. หอคอยมาเก๊า (Macau Tower)

          หอคอยมาเก๊านั้นเป็นจุดชมวิวที่สำคัญแห่งหนึ่งก็ว่าได้ นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องมาให้ได้ถ้ามาเยือนมาเก๊า หอคอยนี้สูงเป็นอันดับที่ 8 ในเอเชีย และสูงเป็นอันดับที่ 10 ในโลก อีกทั้งยังถูกจัดให้เป็นอนุสาวรีย์หอคอยที่ยิ่งใหญ่ของโลกอีกเช่นกัน ถ้าใครอยากชมเมืองมาเก๊าในมุมเบิร์ดอายวิว ต้องมาชมที่นี่เท่านั้น โดยเฉพาะในเวลากลางคืน  นักท่องเที่ยวจะได้เห็นทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจมากทีเดียว นอกจากนี้ ยังเป็นจุดสำหรับให้บริการบันจี้จัมพ์ด้วย

          ข้อมูลเพิ่มเติม : ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ราคา 135 ปาตากาส์ (ประมาณ 572 บาท *ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง), สำหรับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และเด็กราคา 70 ปาตากาส์ (ประมาณ 296 บาท *ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง) ส่วนเวลาเปิดให้บริการ คือ 10.00-21.00 น. (วันธรรมดา), 09.00-21.00 น. (วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดประจำชาติ)

 10 แหล่งท่องเที่ยวในมาเก๊า สัมผัสลาสเวกัสแห่งโลกตะวันออก

8. จัตุรัสเซนาโด (Senado Square)

          จัตุรัสเซนาโดเป็นลานสาธารณะที่มีขนาดกว้างใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการเฉลิมฉลอง บริเวณพื้นทางเดินที่จัตุรัสนี้ตกแต่งด้วยหินและจัดเรียงให้มีลวดลายคลื่นแบบโมเสก เนื่องจากความงดงามของสถาปัตยกรรมจึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรกดโลกจากยูเนสโกด้วย และเนื่องจากจัตุรัสแห่งนี้อยู่ติดกับอาคารรัฐสภาเก่าซึ่งมีสถาปัตยกรรมแบบโบสถ์ของเซนต์โดมินิก อีกทั้งยังอยู่ติดกับตึกลีอันเซนาโด นักท่องเที่ยวจึงได้สัมผัสกับความหลากหลายทางศิลปวัฒนธรรมในชุมชนมาเก๊า นอกจากนี้ บริเวณรอบ ๆ จัตุรัสเซนาโดมีแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหารจีน เปิดให้บริการอยู่หลายแห่ง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็ว่าได้


 10 แหล่งท่องเที่ยวในมาเก๊า สัมผัสลาสเวกัสแห่งโลกตะวันออก

9. เดอะเวเนเชี่ยนมาเก๊า (The Venetian Macau)

          เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่บนถนนโคไท อีกทั้งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียและใหญ่เป็นอันดับสองของโลก นอกจากขนาดที่อลังการแล้ว โรงแรมแห่งนี้ยังเป็นโรงแรมหรู 6 ดาวอีกด้วย ภายในมีห้องพักและบ่อนกาสิโนให้บริการ สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาพัก คือ การออกแบบที่ผสมผสานความโรแมนติกในแบบเวนิส และความน่าตื่นตาตื่นใจของบรรยากาศที่ลาสเวกัส ภายในมีห้องสวีท 3,000 ห้อง ซึ่งมีขนาดกว้างขวางและตกแต่งอย่างหรูหรา ถือว่าเป็นการผสมผสานกันระหว่างความสะดวกสบายและความสวยงามได้อย่างลงตัว

          นอกจากนี้ ยังมีโรงละคร ห้องรับประทานอาหาร ร้านค้า กาสิโน และเพียบพร้อมไปด้วยอาหารกว่า 35 เชื้อชาติ ร้านขายเสื้อผ้ามากกว่า 300 ร้าน สถานที่สำหรับออกกำลังกาย และห้องประชุม รวมถึงกิจกรรมที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ นั่นคือ การล่องเรือกอนโดลา เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าเวนิสเป็นเมืองแห่งสายน้ำ ดังนั้น นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสความรู้สึกของการล่องเรือแบบชาวเวนิส อีกทั้งคนแจวเรือก็ร้องเพลงขับกล่อมไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านความบันเทิงครบครันที่น่าตื่นเต้นและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดีที่สุดในเอเชียเลยก็ว่าได้

          ข้อมูลเพิ่มเติม : เปิดทำการ 10.00-23.00 น. (วันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี), 10.00-24.00 น. (วันศุกร์-วันเสาร์)

10. พิพิธภัณฑ์มาเก๊า (Museum of Macau)

          พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ในป้อมปราการเซนต์ปอล มอนติ นับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในมาเก๊า ภายในมีการจัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมตั้งแต่สมัยยุคหินใหม่ถึงปัจจุบัน ซึ่งจะดีไม่น้อยเลยถ้านักท่องเที่ยวเริ่มต้นการเดินทางเยี่ยมชมมาเก๊าที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อน เพื่อจะได้ไอเดียใหม่ ๆ ว่าจะไปสำรวจอะไร ที่ไหนต่อดี เพราะคงได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมามากทีเดียวจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

            ข้อมูลเพิ่มเติม : ค่าเข้าสำหรับผู้ใหญ่ราคา 15 ปาตากาส์ (ประมาณ 64 บาท *ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง), สำหรับเด็กอายุ 5-10 ปี/นักเรียน/ผู้สูงอายุ ราคา 8 ปาตากาส์ (ประมาณ 34 บาท *ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง) เวลาทำการ: 10.00-18.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)   

16 ข้อควรรู้ ก่อน เที่ยวฮ่องกง

16 ข้อควรรู้ ก่อน เที่ยวฮ่องกง
1. รถเมล์ฮ่องกงต้องยืนต่อแถว การเดินทาง เที่ยวฮ่องกง โดยรถเมล์ ควรรู้ไว้ว่ารถเมล์ของฮ่องกงจะไม่มีการทอนเงิน ควรเตรียมเงินค่ารถให้พอดี และไม่ต้องแปลกใจถ้าเห็นคนยืนต่อแถวบริเวณป้ายรถเมล์ เพราะรถเมล์ที่นี่จะจอดตามป้ายที่ระบุไว้เท่านั้น โดยป้ายรถเมล์จะแยกเป็นแต่ละสาย ต้องรอคิวให้ตรงสายที่เราต้องการขึ้น และมีหลายสายที่ไม่ได้ทำการเดินรถตลอดคืน จึงควรสอบถามข้อมูลให้ละเอียด จะได้ไม่เสียเวลาในการเดินทางเที่ยว
2. แท็กซี่ คือเพื่อนที่ดีที่สุดยามท่องราตรี เพราะรถไฟใต้ดินฮ่องกงปิดบริการตอนเที่ยงคืน การ เที่ยวฮ่องกง ตอนกลางคืน แท็กซี่ น่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่อาจต้องทำใจกับค่าบริการที่สูงกว่าราคาบนมิเตอร์ เพราะพี่แท็กต้องชาร์ตเงินเพิ่ม กรณีเดินทางข้ามฝั่งระหว่างเกาลูนและเกาะฮ่องกง เพราะที่ฮ่องกงรถทุกคันต้องจ่ายค่าบริการใช้อุโมงค์ข้ามฟาก และอีกหนึ่งข้อจำกัดของแท็กซี่ที่นี่ คือ การจำกัดจำนวนผู้โดยสาร 5 คน ต่อคัน
เที่ยวฮ่องกง
3. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูง ค่าโดยสารระบบขนส่งต่างๆ ที่ฮ่องกง ค่อนข้างแพง เช่น ค่ารถไฟใต้ดินขั้นต่ำอยู่ที่ 50 บาท การเดินทางข้ามฟากก็มีค่าบริการสูง จึงควรวางแผน เที่ยวฮ่องกง ให้ถี่ถ้วน ว่าในแต่ละวันจะท่องเที่ยวในแถบไหน ฝั่งเกาลูน ฝั่งฮ่องกง อาเบอร์ดีน หรือเกาะอื่นๆ ให้เป็นพื้นที่ใกล้เคียงกัน จะได้ไม่สิ้นเปลืองกับค่าเดินทางมากนัก
4. ฮ่องกงเมืองแห่งระเบียบวินัย บางครั้ง เที่ยวฮ่องกง อาจไม่ลั้นลาทุกย่างก้าวอย่างที่คิด ด้วยกฎข้อบังคับของบ้านเมืองที่ค่อนข้างเข้มงวด การเข้าแถวขึ้น-ลง บันได ทุกคนต้องยืนชิดซ้าย เพราะช่องทางขวาไว้สำหรับคนที่รีบเร่งเท่านั้น การจราจรบนท้องถนน จะไม่มีการปาดแซงหน้า หรือเปลี่ยนเลนกะทันหัน การข้ามถนนก็ต้องรอสัญญาณไฟเสมอ และข้ามตรงทางม้าลายเท่านั้น หรือการเรียกรถแท็กซี่ ก็ต้องมีการเข้าคิว ต่อแถวตรงจุดที่กำหนด การขึ้น-ลงรถทำได้บริเวณที่ทางการอนุญาตเท่านั้น หรือเพียงแค่การทิ้งขยะไม่ถูกที่หรือการถ่มน้ำลายในพื้นที่สาธารณะก็อาจถูกปรับเป็นเงินหลายพันบาทได้
5. ให้ทิปเสมอเมื่อใช้บริการ ฮ่องกงเป็นเมืองท่องเที่ยว ทุกอย่างคือ บริการ ไม่ว่าจะเรียกใช้บริการอะไร ควรเตรียมเงินทิปเพื่อเป็นสินน้ำใจกับพนักงานด้วยจำนวนที่เหมาะสม คือประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ของค่าบริการทั้งหมด และการขอน้ำจิ้มเพิ่มในร้านอาหารบางแห่ง อาจถูกคิดเงินเพิ่ม สอบถามให้ดี หรือจะรู้ตัวอีกที ค่าน้ำจิ้มก็มาโผล่ในบิลเรียกเก็บเงินซะแล้ว
6. อาหารจานยักษ์ อิ่มจุกที่ฮ่องกง แม้เรื่องอาหารการกินที่ฮ่องกงจะราคาสูงกว่าบ้านเรา แต่ก็มีปริมาณที่เยอะมาก  ฉะนั้นหากไป เที่ยวฮ่องกง กับเพื่อนๆ หลายคน แล้วคิดจะสั่งอาหารแบบจานเดียว ควรลองสั่งมาก่อนสัก 2-3 เมนู ดูปริมาณว่าเยอะขนาดไหน แล้วค่อยสั่งเพิ่มหากไม่อิ่มจะดีกว่า ดีกว่าเหลือทิ้งเสียดายของ และไม่ต้องหวั่นว่าสั่งทีหลังได้ช้า เพราะที่ฮ่องกง รับรองเลยว่าทำอาหารและบริการรวดเร็วแบบทันใจ
เที่ยวฮ่องกง
7. น้ำชา คือ การต้อนรับ เมื่อเดินทางเข้าร้านอาหารใดๆ น้ำชาร้อนจี๋ มักจะพร้อมเสิร์ฟเสมอ คนฮ่องกงไม่นิยมบริโภคน้ำเย็น เพราะฉะนั้น ก่อนจิบระวังนิด มีสิทธิ์ปากพองได้
8. เก็บร่มเปียก ก่อนขึ้นตึก หาก เที่ยวฮ่องกง หน้าฝน หรือจำเป็นต้องฝ่าฝนตก ก่อนก้าวขึ้นตึกใดๆ ต้องนำร่มเก็บในถุงเก็บร่ม ซึ่งทางตึกจะมีบริการแขวนไว้ให้ที่บริเวณทางเข้า เพื่อกันความสกปรกเลอะเทอะบนพื้นอาคาร
9. มิจฉาชีพแฝงอยู่ในแหล่งพลุกพล่าน เที่ยวฮ่องกง ต้องระมัดระวังอย่างมาก ยิ่งเวลาอยู่ในที่ชุมชน เพราะกรุ๊ปทัวร์ มักเป็นกลุ่มเป้าหมายของนักล้วงกระเป๋า
16 ข้อควรรู้ ก่อน เที่ยวฮ่องกง
10. ตรวจสอบเวลาเช็คอิน-เช็คเอาท์ โรงแรมที่ฮ่องกง เวลาเช็คอิน-เช็คเอาท์ อาจไม่ใช้มาตรฐานเดียวกันทั้งหมด  บางแห่งให้เข้าพักได้ตอนเที่ยง บางแห่งอาจเป็นช่วงบ่าย หรือบางแห่งเวลาเช็คเอาท์อาจเลทได้ถึงบ่ายสอง จึงควรควรตรวจสอบเวลาก่อนล่วงหน้า เพื่อจะได้ไม่เสียเวลา
11. Adaptor ขาดไม่ได้ ถ้าหอบเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือที่ชาร์ตแบตมือถือไป สิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ควรเตรียมติดกระเป๋าไป คือ Adaptor เพราะที่ ฮ่องกง ใช้ปลั๊กไฟ 3 ขา แบตหมดมาน้ำตาจะได้ไม่ไหลนะ!
12. บริการด่วน Airport Express Link คือ รถไฟสาย เออีแอล (AEL) รถไฟสายด่วน จากสนามบินแล่นถึงใจกลางเมือง ด้วยเวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น และที่สำคัญ ขากลับ หากเลือกใช้บริการนี้จากในเมืองมาที่สนามบิน สามารถเช็คอิน และโหลดกระเป๋าได้ที่สถานีรถไฟใจกลางเมือง โดยไม่ต้องหอบสัมภาระให้ลำบาก หรืออยากจะเช็คอิน ส่งกระเป๋าขึ้นเครื่องล่วงหน้า แล้วเอาเวลาไปเดินช้อป เที่ยวฮ่องกง ได้อีกนิดหน่อย ค่อยขึ้นรถไฟไปสนามบินตอนใกล้เวลา เครื่อง Take off ก็ยังได้ แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจ ต้องคำนวณและเผื่อเวลาให้รอบคอบ เพราะที่ฮ่องกงมีกฎในการปิดประตูเครื่องก่อนขึ้นบิน 20 นาที อย่างเคร่งครัด ถ้ามาไม่ทันรับรองว่าตกเครื่องแน่นอน
13. น้ำชักโครกคือน้ำทะเล เพราะน้ำจืดมีราคาแพง เครื่องชักโครกในส้วม จึงต้องใช้น้ำทะเลด้วยความที่เป็นเกาะ ที่ฮ่องกงมีการวางท่อน้ำทะเล เพื่อใช้สำหรับน้ำชักโครกโดยเฉพาะ
14. เจ้าพ่อฮวงจุ้ย ตึกรามบ้านช่องที่เราเห็นว่ามีรูปทรงแปลกตา สวยงามไม่ซ้ำใคร ล้วนมาจากความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ย  โดยเฉพาะช่วงวันขึ้นปีใหม่ของทุกปี จะมีรายการโทรทัศน์คอยให้คำแนะนำเรื่องการตกแต่งบ้านให้เหมาะกับราศี เพื่อปรับฮวงจุ้ยรับความเฮง
15. รถยนต์มีไว้สำหรับคนรวย รถยนต์ที่ฮ่องกง มักจะเห็นแต่ยี่ห้อหรูหราอย่าง เบนซ์ เล็กซัส หรือ บีเอ็มดับเบิ้ลยู เพราะคนที่สามารถซื้อรถได้ต้องมีฐานะดีมาก เนื่องจากการมีรถหนึ่งคันต้องเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ สูงมาก นอกจากค่าประกัน ค่าบำรุงรักษา ยังมีเรื่องค่าที่จอดเข้ามาอีกด้วย
16. ธนบัตรฮ่องกงหลากหลายมาก เนื่องจากมีหลายธนาคารที่รับผิดชอบการพิมพ์ การผลิต ธนบัตรของฮ่องกง มูลค่าเดียวกันจึงมีหลายแบบ หลายลวดลาย แต่จะเหมือนกันอยู่อย่างเดียวคือ สี ที่จำแนกตามราคา
การเที่ยวฮ่องกงแต่ละครั้งอาจได้ประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำ บางข้อก็เป็นกฎควรจำ เพื่อให้เที่ยวได้สนุกแบบเต็มอรรถรส!

การอบซาวหน้าาาา>< (สาวๆชอบบบ)
การอาบเหงื่ออบซาวน่ากำลังเป็นที่สนใจ ไม่เพียงมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ยังเอื้อถึงความผ่องพิสุทธิ์ของผิวพรรณ ซาวน่ามีหลายรูปแบบ แต่ละแบบก็อบตัวในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่ใช่จะเหมาะกับทุกคน และจะเข้าซาวน่ายังไงให้ได้ประโยชน์สูงสุด เรื่องนี้ก็สำคัญ

 อบซาวน่าเพิ่มภูมิคุ้มกันหน้าหนาวได้ 2 เท่า
           หลังการอบซาวน่า คุณจะรู้สึกเนื้อตัวเบาโปร่ง จิตใจเคลิ้มสบาย เนื้อตัวสะอาด หลายคนอบซาวน่าเพื่อคลายเครียดจากภาระในชีวิตประจำวัน การอบตัวแต่ละครั้งร่างกายจะสูญเสียของเหลว ช่วงขณะนั้นเลือดคุณจะไม่หยุดแข็งตัว และระบบร่างกายจะทำการเติมเลือดให้เต็มด้วยน้ำเหลือง ร่างกายมีการทำความสะอาดตัวเองด้วยการหลั่งเหงื่อและขับของเสียต่าง ๆ ที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงาน ขณะที่อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส อุณหภูมิของผิวจะเพิ่มขึ้นจนถึง 10 องศาเซลเซียส
           ความร้อนจากซาวน่ากระตุ้นระบบโลหิตใต้ผิวหนัง ให้หมุนเวียนสูบฉีดว่องไว  จัดสรรอาหารและออกซิเจนเข้าสู่เซลส์ผิวอย่างมากมาย ภาวะที่ต้องนั่งทำงานนิ่ง ๆ นาน ๆ ในออฟฟิศ โลหิตใต้ผิวจะหมุนเวียนเฉื่อยชาลง ส่งผลให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นถึงการสะสมของเซลลูไลต์ ขณะเข้าซาวน่า หลอดเลือดมีการขยายตัว พอคุณออกจากซาวน่า หลอดเลือดจะเกิดการหดตัว ภาวะที่หลอดเลือดหดและขยายตัวเช่นนี้ คือการออกกำลังกายให้กับหลอดเลือด
           ความร้อนจากการอบตัวยังกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน  งานวิจัยจากสหรัฐอเมริการะบุว่า จำนวนเซลล์ที่ทำหน้าที่ทำลายและดูดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย อย่างเชื้อแบคทีเรียจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ขณะที่หายใจสูดอากาศอุ่นร้อนในซาวน่าเข้าไป จะกระตุ้นให้มีการสูบฉีดโลหิตสู่เยื่อบุถึง 17 ครั้ง ภาวะเช่นนี้จะกระตุ้นการสร้างสารปกป้องร่างกายจำพวกฮีโมโกลบินให้มากขึ้น (ฮีโมโกลบิน เป็นโปรตีนในเลือดพลาสม่า ทำหน้าที่ด้านภูมิต้านทาน) จะมีการกระตุ้นดังกล่าวมาไม่ว่าคุณจะเข้าซาวน่าประเภทไหน

อบซาวน่าให้ได้ประโยชน์สูงสุด

           ให้ถอดเครื่องประดับทุกชิ้นออกก่อนเข้าห้องซาวน่า  รวมถึงเครื่องประดับที่ติ่งหูและที่เจาะใส่จมูก โลหะเป็นสื่อนำความร้อน ลวกผิวให้ไหมพองได้
           ห้ามอบซาวน่าในขณะท้องอิ่ม  ไม่ควรรับประทานอาหารใด ๆ ก่อนซาวน่าเป็นเวลา 2 ชั่วโมง
           ใครออกกำลังกายก่อนเข้าซาวน่า  ควรพักและรอจนจังหวะการเต้นของหัวใจเป็นปกติ มิฉะนั้นจะเกิดอันตรายต่อระบบของร่างกาย
           หัวใจสูบฉีดและเต้นเร็วขึ้นไม่ควรเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ถ้ามากกว่านี้จะเกิดอันตรายต่อระบบของร่างกายได้
           ควรอาบน้ำก่อนและเช็ดตัวให้แห้งหลังจากอาบน้ำ ผิวที่แห้งจะขับเหงื่อได้ดีและเร็วขึ้น และเพื่อให้เศษเซลส์ผิวหมองได้พองตัวและหลุดลอกจากผิวอย่างง่ายดาย ควรขัดผิวก่อนเข้าห้องอบ ผิวจะนุ่มยิ่งขึ้นความร้อนจะช่วยให้เศษไขมันในรูขุมขนละลายอ่อนตัว วิธีนี้เป็นการทำความสะอาดผิวที่ลึกขึ้น
           ขณะซาวน่าควรจิบน้ำเพียงเล็กน้อย  ขณะที่หลั่งเหงื่อจะมีการดึงน้ำ และของเสียออกจากเนื้อเยื่อเข้าไปในระบบเลือด ถ้าร่างกายได้รับน้ำทันที ระบบเลือดจะดึงของเหลวจากลำไส้แทนการดึงจากเนื้อเยื่อ ซึ่งจะไปขัดขวางระบบขับของเสียโดยไม่รู้ตัว การอบซาวน่าจะกระตุ้นให้ไตเกิดการฟอกของเสียขยันขันแข็งขึ้น หลังอบซาวน่าให้ดื่มน้ำแร่ หรือไวน์ที่ผสมโซดา หรือน้ำแร่แช่มะนาวฝานบางสักชิ้นในแก้วจะยิ่งดี แต่ห้ามดื่มแอลกอฮอล์
           อบซาวน่าเท่าที่ร่างกายรู้สึกสบายไม่ควรอบนานเกินไป บางคนแค่ 5 นาทีก็พอ บางคนอยู่นานถึง 20 นาที เฉลี่ยแล้วร่างกายได้รับประโยชน์ภายใน 8 นาที
           ได้เดิน 5-6 ก้าวจะดียิ่ง ให้เดินอย่างมากสัก 15 นาที และพักร่างกายให้สงบ 15 นาที ห้ามว่ายน้ำเด็ดขาด
           ควรผ่อนร่างกายให้เย็นลงอย่างช้า ๆ  โดยเริ่มจากสูดหายใจเอาลมเย็น ๆ เข้าไปภายใน แล้วอาบน้ำเย็น เมื่อระบบบหมุนเวียนในร่างกายคงที่ก็ลงอ่างน้ำได้ แต่ห้ามอาบน้ำเย็นในทันทีทันใดโดยเด็ดขาด
           ในฟินแลนด์แม้แต่เด็กและสตรีมีครรภ์ก็สามารถอบซาวน่าได้  ทั้งยังเชื่อว่า การอบซาวน่าอยู่เป็นประจำ  จะช่วยให้คลอดง่าย แต่ถ้าไม่เคยซาวน่ามาก่อน ก็ไม่ควรเริ่มอบตัวครังแรกในระหว่างตั้งครรภ์ส่วนเด็กต้องค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่สูงก่อน ไม่ใช่จะเข้าอบในห้องอุณหภูมิสูงเลยในช่วงแรก ๆ 
           ผู้อบซาวน่าจะต้องไม่เป็นโรคติดเชื้อรุนแรง  ไข้หวัด และโรคไต สำหรับโรคความดันโลหิตและเส้นเลือดตีบตัน  ควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะดีที่สุด
ปัญหาการนอนไม่หลับ

การนอนไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะอย่างที่รู้ว่า 1 ใน 3 ของชีวิตคือ การนอน ฉะนั้นหากคุณนอนไม่สบาย งีบไม่สงบ ตื่นมามีปัญหาแน่ !
       
       “ปัญหาการนอน ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณอ่อนเพลีย และรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งรอบตัวเท่านั้น แต่มันยังก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอีกหลายอย่าง รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้นด้วย” ข้อมูลจากนิตยสาร European Heart Journal ระบุไว้
       
       ทั้งนี้ปัญหาที่เกิดกับการนอนมีหลายประการ ทั้งนอนไม่หลับ นอนกรน นอนมากเกินพอดี ฯลฯ เหล่านี้ล้วนสร้างปัญหาให้กับชีวิตคุณไม่น้อย โอกาสนี้เราขอรวบรวมสารพัดปัญหาการนอนมาบอกเล่า พร้อมบอกถึงที่มา และแนวทางการแก้ไขสุดเจิดมาด้วย เพื่อให้คุณๆ ‘หลับสบาย ตื่นสดชื่น’ กันถ้วนหน้า...  ปัญหา => สลึมสลือ หลังตื่นนอน
       

       เคยมั้ยคะ ที่ตื่นในยามเช้าแล้วรู้สึก สลึมสลือ เหนื่อยล้าอ่อนเพลียไปหมด ทั้งที่เมื่อนับชั่วโมงการนอนแล้ว ก็ไม่ได้น้อยสักหน่อย ขอเฉลยว่าสาเหตุที่ทำให้คุณสลึมสลือยามตื่นนั้น อาจมาจากการที่ร่างกายของคุณทำงานแปรปรวนเข้าให้แล้ว!
      
       
“ร่างกายต้องการที่จะนอนหลับ และตื่นขึ้นมาในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อที่ระบบภายในร่างกายจะได้มีเวลาเตรียมพร้อมก่อนคุณตื่นนอน 1 ชั่วโมง” นายแพทย์ Neil Stanley ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนให้ข้อมูล
      
       
พร้อมยกตัวอย่างว่า หากคุณตื่นในเวลาเดียวกันทุกวัน เช่น 7 โมงเช้าลุกจากเตียง ทำเช่นนั้นสม่ำเสมอไปสัก 1 สัปดาห์ ร่างกายของคุณจะเริ่มปรับตัว และรู้ว่าเมื่อถึงเวลา 6 โมงเช้า จะต้องตื่นตัวและเตรียมพร้อมที่จะตื่นอย่างสมบูรณ์ในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลพวงมาจากการที่ ร่างกายของเรา ฉลาดเหลือหลาย จึงสร้างฮอร์โมน (hormone) ตั้งเวลาปลุกตัวเองได้ เช่นเดียวกับการสร้างฮอร์โมนที่ช่วยป้องกันการขับปัสสาวะในเวลากลางคืน
      
       
“แม้จำนวนปัสสาวะจะเพิ่มขึ้นในเวลากลางคืน แต่ร่างกายก็จะควบคุมการปวดปัสสาวะเอาไว้ เพื่อให้คุณไม่ต้องสะดุ้งตื่นไปเข้าห้องน้ำกลางดึก” คุณหมอ Stanley อธิบาย
      
       
ขณะที่ศาสตาราจารย์ Kevin Morgan แห่งศูนย์ให้คำปรึกษาด้านการนอน ก็ออกมาสำทับข้อมูลนี้ว่า “เมื่อใกล้ถึงเวลาตื่น น้ำย่อยในกระเพาะอาหารจะเริ่มถูกผลิตออกมา เพราะเข้าใจว่ามันกำลังจะต้องย่อยอาหารในอีกไม่ช้านี้”
      
       
ทว่าส่วนใหญ่แล้วมักไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหลายคนเหลือเกิน ที่ตื่นเช้าในวันจันทร์-ศุกร์ เวลาเดียวกันสม่ำเสมอ ครั้นพอวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็มักต้องการผ่อนคลายชีวิตด้วยการนอนดึก และตื่นสายๆ ซึ่งต้องเตือนกันไว้เลยว่า การทำเช่นนั้นไม่ดีต่อระบบของร่างกายค่ะ เพราะจะทำให้ร่างกายแปรปรวน จนทำให้เมื่อตื่นขึ้นในเช้าวันจันทร์ แทนที่จะรู้สึกกระฉับกระเฉง เพราะได้พักเต็มที่ กลับจะรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ไม่สดชื่นไปซะได้ นั่นเพราะร่างกายคุณเริ่ม ‘งง’ ว่า เอ๊ะ… นี่ถึงเวลาตื่นแล้วเหรอเนี้ย?
      
       
วิธีแก้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอน Stanley แนะนำว่า ควรปรับพฤติกรรมของตัวเองให้เข้านอน และตื่นเวลาเดียวกันทุกวัน ไม่เว้นแม้กระทั่งวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อควบคุมนาฬิกาภายในร่างกายให้ทำงานปกติ เพราะการที่คุณนอนและตื่นไม่เป็นเวลา จนเกิดอาการงัวเงีย สลึมสลือ ในช่วงเช้านั้น ไม่ใช่โรค แต่คือ อาการไม่พึงประสงค์ ที่เกิดจากพฤติกรรมของตัวคุณเองค่ะ
      
       
ปัญหา => ละเมอ ในเวลานอน
      
       
มีความเป็นไปได้ที่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (alcohol), ยา, พันธุกรรม หรือความเครียดภายในจิตใจ อาจเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดภาวะการนอนละเมอได้
      
       
“อาการละเมอคือ การที่คุณสามารถยืน เดิน หรือพูดได้ขณะที่ยังหลับอยู่ได้ เพราะสมองส่วนหนึ่งจะหลับลึก ขณะที่ร่างกายส่วนอื่นๆ ถูกกระตุ้นให้เคลื่อนไหว ทั้งที่คุณยังหลับอยู่” ดร. Stanley กล่าวถึงภาวะการละเมอ
      
       
สำหรับอาการละเมอนี้ ในเด็กเล็กจะพบได้มาก เพราะสมองของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ ส่วนในผู้ใหญ่สาเหตุที่ละเมอ อาจมาได้ทั้งจากฤทธิ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พันธุกรรม ความเครียด หรือแม้แต่ยาบางชนิดที่ใช้กับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ก็มีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการละเมอในยามงีบหลับได้
      
       
วิธีแก้ การละเมอ หรือตื่นขึ้นมายามนิทรา อาจไม่ได้เป็นอันตรายกับคุณมากนัก แต่เมื่อใดที่มันส่งผลกระทบต่อชีวิต เช่น ทำให้คุณเครียด เพราะกลัวจะละเมอเดินออกจากบ้านไปไหนต่อไหน โดยไม่รู้ตัวแล้วละก็ ประการแรกลอง ลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เสียก่อน หากยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้คุณไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และวิธีการแก้ไขที่ถูกต้องต่อไป 
ปัญหา => นอนไม่หลับ จนกว่าจะดึก
      
       
แม่สาวค้างคาว มนุษย์กลางคืนต้องฟังแล้วจำให้ขึ้นใจ ว่ามันไม่ดีเอาซะเล้ย.. กับการที่คุณจะนอนดึกทุกวี่ทุกวัน เพราะนั่นเป็นการทำให้ร่างกายของคุณแปรปรวน กลายเป็นคนนอนดึก ตื่นสาย ซึ่งนั่นส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณด้วย
      
       
ทั้งนี้เพราะฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับของร่างกายที่ชื่อว่าฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) จะทำงานได้ดีในเวลากลางคืน เมื่อสมองรู้ว่าเป็นช่วงกลางคืน ฮอร์โมนเมลาโทนินนี้ ก็จะหลั่งออกมาเพื่อช่วยให้ร่างกายหลับได้ง่ายขึ้น ทั้งยังเสริมสร้างความแข็งแรง ปรับสมดุลให้ร่างกาย (ตามคุณสมบัติของ ฮอร์โมนเมลาโทนิน) แต่เมื่อสมองเห็นแสงสว่างในช่วงกลางวัน ก็จะสั่งการให้ฮอร์โมนเมลาโทนิน หยุดทำงาน ฉะนั้นหากคุณนอนรุ่งสางทุกวัน ฮอร์โมนสุดเลิศตัวนี้ คงแทบไม่มีโอกาสได้ออกมาปฎิบัติการ เสริมสร้างร่างกายเป็นแน่ วิธีแก้ ควรนอนหลับในตอนกลางคืน เพื่อให้เจ้าฮอร์โมนเมลาโทนินได้ทำงานเถอะค่ะ แม้คุณจะนอนดึกเสียชิน แต่ก็สามารถข่มใจเปลี่ยนพฤติกรรมได้ หากยังทำไม่ได้ แนะนำว่า ก่อนจะนอน ควรปิดไฟนีออน (Neon)แสงสว่างวาบ แล้วเปิดไฟสลัวที่หัวเตียงแทน เพราะแสงสลัวจะทำให้สมองรับรู้ได้ว่า ขณะนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว จะช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้นค่ะ
      
       
ปัญหา => นอนกรน / นอนกัดฟัน
      
       
หากคุณมีเวลานอนในแต่ละวัน 6-8 ชั่วโมงแล้ว แต่ตื่นเช้ามาทำงาน ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลีย อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มีความเป็นไปได้ว่า สาเหตุอาจมาจากการที่คุณมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ซึ่งส่งผลให้คุณนอนกรน และหยุดหายใจในเวลากลางคืน!
      
       
“ผู้คน 2 ใน 4 คน ประสบปัญหา นอนกรน และหยุดหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งอาการนี้มักเกิดในคนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน โดยเฉพาะในผู้ชายที่มีรูปร่างอ้วน” ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการนอน Neil Stanley ระบุพร้อมอธิบายต่อว่า ผู้ที่นอนแล้วหยุดหายใจ มักหยุดหายใจเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ตั้งแต่ 10-60 วินาที พอกลับมาหายใจอีกครั้งก็จะเกิดเป็นเสียงกรน ซึ่งระยะเวลาที่หยุดหายใจนั้นแม้จะไม่ยาวนาน แต่ก็ส่งผลให้ออกซิเจน (Oxygen) ในสมองค่อยๆ ลดลง กระทั่งสมองถูกกระตุ้นให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา จนเหมือนว่าคุณไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
      
       
“อาการนี้คนทั่วไปมักคิดว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่แท้จริงแล้วมันส่งผลให้คุณรู้สึกไม่สดชื่น ตื่นมาแล้วรู้สึกเหนื่อยล้า และเมื่ออาการเหนื่อยล้าในยามกลางวัน สะสมนานวันเข้า ก็อาจทำให้คุณมีอาการนอนกัดฟันร่วมด้วย”
      
       
วิธีแก้ คุณหมอผู้เชี่ยวชาญการนอน แนะนำให้คุณไปพบแพทย์ เพราะคุณอาจไม่ทราบว่า ขณะนอน คุณกรน หรือกัดฟันหรือเปล่า แต่ถ้าคุณเหนื่อยล้าทุกวัน มันก็อาจเกิดจากสาเหตุที่คุณนอนกรน และ กัดฟันยามค่ำคืนนั้นก็เป็นได้
      
       
ปัญหา => สะดุ้งตื่นกลางดึก
      
       
มนุษย์สามารถนอนพักผ่อนได้เต็มที่ ในสถานที่ซึ่งตัวเองคิดว่าปลอดภัย การเปลี่ยนสถานที่นอนอาจทำให้คุณเกิดสภาวะเครียด หรือรู้สึกไม่ปลอดภัยได้ ดังนั้นคุณควรใส่ใจกับสภาวะแวดล้อมในสถานที่นอน ทำให้รู้สึกว่านอนแล้วปลอดภัย ไม่ใช่มีกระจกใสอยู่ปลายเตียง ตื่นมาเห็นเงาตัวเองแล้วสะดุ้งกันทุกคืน อย่างนั้นก็ม่ายไหว...
      
       
แต่อย่างไรก็ตาม อายุที่มากขึ้น อาจส่งผลให้คุณตื่นนอนกลางดึกได้ง่ายขึ้น เพราะผู้สูงอายุจะค่อยๆ เคลิ้มหลับอย่างช้าๆ แต่หากมีสิ่งรบกวนแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะสะดุ้งตื่นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เป็นเพราะระบบฮอร์โมนในร่างกายได้เปลี่ยนแปลงไป
      
       
วิธีแก้ เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มทุกชนิดก่อนเวลาเข้านอน เพราะมันจะเป็นการกระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะทำงาน จนทำให้คุณต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก รวมถึงจัดสรรสถานที่นอนให้เหมาะสม เพื่อที่หลับแล้วจะได้รู้สึกสงบ และปลอดภัยด้วยค่ะ
 ปัญหา => นอนฝันร้าย
      
       
โดยปกติแล้ว คนเรามักฝันมากถึง 4-5 เรื่องต่อคืน ทว่าเราไม่สามารถจดจำได้ทั้งหมด ส่วนใหญ่ความฝันที่เราจำได้ มักเป็นความฝันช่วงก่อนตื่นนอน สำหรับสาเหตุที่ทำให้คุณฝันร้ายก็คือ การที่คุณมีความเครียด หรือวิตกกังวลในจิตใจ
      
       
วิธีแก้ เมื่อปัญหาฝันร้าย เกิดจากความวิตกกังวล การแก้ไข คงไม่มีวิธีใดที่ดีไปกว่า การพยายามลดความเครียด และปรับความคิด และจิตใจให้สงบหรอก ....ลองดูนะคะ
      
       
ปัญหา => สะดุ้งตื่นเร็วเกินไป
      
       
“ความเหนื่อย ความเครียด ที่สะสมอยู่ภายในจิตใจ อาจทำให้คุณนอนหลับไม่สบาย เกิดความกังวล จนคุณต้องตื่นนอนก่อนเวลา ซึ่งเรื่องนี้ผู้คนมักคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่แท้จริงแล้วมันคือ สัญญาณที่บอกว่า คุณกำลังมีจิตใจที่หดหู่ หรือกังวลใจกับสิ่งใดอยู่ลึกๆ โดยที่คุณเองก็อาจไม่รู้ตัว” คุณหมอ Stanley ระบุ
       
       วิธีแก้ พยายามฝึกตัวเองให้ อย่านอนคว่ำ เพราะนั่นเป็นการทำให้คุณหายใจไม่สะดวก จนต้องสะดุ้งตื่น ทั้งนี้ในเวลานอน จะมีระยะเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงที่คนเราหลับได้ลึก แต่หลังจากนั้นหากคุณเปลี่ยนอิริยาบถโดยการนอนคว่ำ หรือมีเสียงเพียงเล็กน้อยรบกวน คุณก็อาจจะสะดุ้งตื่นได้ง่ายๆ
      
       
อีกประการสำคัญคือ เรื่องของความเครียดค่ะ สิ่งจำเป็นที่คุณควรทำคือ ปรับความคิดให้ผ่อนคลาย โดยอาจใช้วิธีออกกำลังกาย หรือฝึกสมาธิ เพื่อให้จิตใจได้คลายความวิตกกังวล
      
       
ปัญหา => นอนหลับมากเกินไป
      
       
ต้องสังเกตตัวเองให้ดีค่ะ สำหรับคุณสาวๆ ที่มีพฤติกรรมนอนยาว ลากตั้งแต่หัวค่ำยันบ่ายอีกวัน เพราะศาสตราจารย์ Francesco Cappuccio ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพการนอน แห่งมหาวิทยาลัย Warwick ยืนยันว่า “การนอนมากเกินควร ทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้”
      
       
พร้อมให้ข้อมูลว่า การที่จู่ๆ คุณกลายเป็นคนที่ต้องการนอนเยอะผิดปกตินั้น อาจเป็นผลมาจากความหดหู่เรื้อรัง ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ กล่าวคือ เมื่อคุณเกิดความเครียด ระยะแรกคุณอาจนอนไม่หลับก่อน แต่เมื่อเกิดภาวะเครียด หรือหดหู่นานวันเข้า แทนที่จะนอนไม่หลับ ก็กลายเป็นนอนหลับยาวนานจนเกินพอดี
      
       
วิธีแก้ หากคุณอยู่ในภาวะหลับมากเกินควร นอนนานเกินไป แนะว่าควรหาทางระบายความเครียด โดยอาจใช้วิธีปรึกษาเพื่อน หากิจกรรมผ่อนคลาย หรือกระทั่งไปพบจิตแพทย์ เพื่อปรึกษาหาทางปลดเปลื้องความเครียด หรือความกังวลใจออกไปซะ เพราะสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับร่างกายคือ การนอนหลับอย่างพอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยเกินไป