วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

  ประโยชน์ของน้ำผึ้ง



ประโยชน์ของน้ำผึ้ง ในน้ำผึ้งมีวิตามิน บี ซี และแร่ธาตุต่างๆ เช่น ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ กรดอะมิโนจำเป็น รวมถึงสารเอนติออกซิเดนท์
เช่นเดียวกับที่พบในอาหารประเภทผักใบเขียว หรือชาเขียวซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต ช่วยปรับสมดุลร่างกาย และควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้ง (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ล(Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น
ผู้ที่นอนไม่ค่อยหลับ ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น หรือนมอุ่นๆ จะช่วยให้คุณหลับสบาย แต่ถ้าได้ร่วมกับการนั่งสมาธิซัก 5 นาทีก่อนนอน เพื่อให้ท่านได้หยุดพักความคิดและปล่อยวางลงบ้าง จะยิ่งทำให้คืนนั้นเป็นคืนที่คุณได้พักผ่อนเต็มที่
สมัยก่อนไม่มีเครื่องสำอางมากมายอย่างในสมัยนี้ แต่ว่าคนสมัยโบราณก็รู้จักใช้น้ำผึ้งเป็นเครื่องบำรุงความงามได้ดีมากทีเดียว และเครื่องสำอางสมัยนี้ก็มีอยู่หลายอย่างที่ใช้น้ำผึ้งเป็นส่วนประกอบเพื่อทำเป็นเครื่องบำรุงผิวให้งดงามชุ่มชื้น
สำหรับผิวแห้งแตก เมื่ออากาศหนาวเย็นผิวก็จะแห้งง่าย เอาน้ำผึ้งแท้ไม่ต้องผสมอะไรนะคะ ทาผิวจะช่วยป้องกันผิวแห้งได้ ผิวก็จะไม่แตกด้วย

สำหรับริมฝีปากแห้งและแตกง่าย ถ้าทาน้ำผึ้งบ้างก็จะสามารถป้องกันไม่ให้แตกเป็นแผลได้
 
 
 
 

 

ประวัติโยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach)

ประวัติ
โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า เจ.เอส.บาค บาคเกิดที่เมืองไอเซนาค ในประเทศเยอรมัน ในเดือน มีนาคม ค.ศ. 1685 บาคเติบโตขึ้นมาในครอบครัวของนักดนตรีอาชีพ ดังนั้นเขาจึงได้รับการสนับสนุนส่งเสริมในการดนตรีมาตั้งแต่เยาว์ ตามสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อมเช่นนั้น เขาจึงต้องเป็นนักดนตรีอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น บาครักดนตรีด้วยชีวิตจิตใจ ทุ่มเทพลังกายพลังใจและพลังความคิดให้แก่ดนตรีอย่างหมดสิ้น งานของเขาจึงประณีตบรรจงแบบหาที่ติมิได้เขาไม่เคยเรียกร้องขอความสนับสนุนจากผู้ใด ไม่สนใจต่อการตอบแทนในความเป็นอัจฉริยะของเขา เขามีชีวิตอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวและภาคภูมิใจในผลงานของตนอย่างเงียบ ๆ แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีความดิ้นรนทุรนทุรายที่จะให้โลกรับรู้และยอมรับความสามารถของเขาตลอดเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่ คนทั้งหลายรู้จักเขาก็แต่เพียงเป็นนักออร์แกนที่มีฝีมือดีผู้หนึ่งเท่านั้นงานของ เจ.เอส บาค ได้รับการเผยแพร่ให้โลกได้ตื่นตะลึงในความยิ่งใหญ่ของเขาก็ต่อเมื่อ เจ.เอส.บาค ได้จากโลกนี้ไปแล้วร่วมร้อยปี ผลงานของ เจ.เอส.บาค มีมากมายจะขอแยกประเภทไว้เพื่อเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้
บทเพลงประเภทขับร้อง
เจ.เอส.บาค ได้แต่งเพลงจำพวกเชอร์ชแคนตาต้า (church cantata) มากกว่า 200 เพลง แพสชั่น 2 ชุด คือ แพสชั่นที่ใช้ถ้อยคำตามคำบันทึกของเซนต์จอห์นและแพสชั่นตามคำบันทึกของเซนต์แมทธิว และแมสอีก 1 ชุด คือ แมสอินบีไมเนอร์ที่มีชื่อเสียง

บทเพลงประเภทบรรเลง
เจ.เอส.บาค เริ่มชีวิตการเป็นนักดนตรีจากการเป็นนักออร์แกน ดังนั้นจึงมีผลงานทางด้านเพลงบรรเลงไว้อย่างมากมาย คือ เพลงแบรนเดนเบอร์คอนเชอร์โต 6 เพลง ไวโอลินคอนเชอร์โตเพลงสำหรับเครื่องดนตรีประเภทดีด เช่น สวี้ท (Suite) โซนาต้า (Sonata) พีลูด (prelude) fugue 48 เพลง และเพลงสำหรับออร์แกนอีกมากมาย สำหรับเพลงบรรเลงของ เจ.เอส.บาคนั้น ต้องยอมรับว่าเพลงของบาคนั้นถือว่ามีความยิ่งใหญ่มาก ทั้งนี้เนื่องจากบาคเป็นนักบรรเลงดนตรีมาตลอดเขาจึงให้ความสนใจและทุ่มเทกับการดนตรีประเภทบรรเลงมาก จึงได้ประพันธ์เพลงประเภทนี้ไว้อย่างมากมายหลายหลายชนิดด้วยความชำนาญสันทัดจัดเจนยิ่ง

สไตล์ในการแต่งเพลงของ เจ.เอส.บาค
เจ.เอส.บาค เป็นนักดนตรีประจำโบสถ์ ดังนั้นบาคจึงให้ความสนใจในเพลงที่ใช้ในทางศาสนามาก ได้ศึกษาหาความรู้จากเพลงของนักแต่งเพลงรุ่นก่อนบาคชอบในความสงบเยือกเย็นของเพลง ในแบบที่ปาเลสตรีนาแต่งไว้ และในเวลาเดียวกันบาคก็นิยมในความจริงต่ออารมณ์ที่เพื่อนนักแต่งเพลงรุ่นเดียวกันแสดงออก บาคจึงนำสิ่งที่ชอบทั้งสองนี้มาผสมผสานและปรากฏว่ากลมกลืนเข้ากันได้เป็นอย่างดียิ่ง ความเป็นอัจฉริยะของตนเองทำให้เพลงมีความสมบูรณ์ในอารมณ์และได้ความหมายลึกซึ้งมากขึ้นสไตล์การแต่งเพลงของ เจ.เอส.บาค เป็นแบบเฉพาะบุคคลเพราะถึงแม้จะได้รับแบบอย่างมาจากชาวอิตาเลียน แต่บาคได้นำมาดัดแปลงตบแต่งขัดเกลาเสียใหม่ให้เข้ากับรสนิยมและทัศนะของเขาจึงยังสามารถคงความเป็นตัวของตัวเองอยู่ได้ เจ.เอส.บาคมีความประณีตบรรจงในการแต่งเพลงมากจะเพ่งเล็งที่รายละเอียดในงานเพลงของเขาทุกแง่ทุกมุมงาน ของบาคได้รับการกลั่นกรองเป็นอย่างดีเยี่ยมจึงหาที่ตำหนิมิได้บาค มีความสามารถเป็นอย่างยิ่งในการใช้ทำนองเพลงสอดประสานกันเองอย่างที่เรียกตามศัพท์วิชาการเป็นภาษาอังกฤษว่าโพลีโฟนิคสไตล์ (Polyphonic style) ยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพลงของบาคมีความลึกซึ้งในอารมณ์แสดงถึงศรัทธาที่มีอย่างจริงใจต่อศาสนา และดนตรีของบาค ในการแต่งเพลงประเภทบรรเลงบาคจะใช้วิธีการปฏิบัติออร์แกนซึ่งเป็นเครื่องดนตรีและทำได้อย่างดีที่สุดทุกรูปแบบด้วย บาคมีความชำนาญแลจัดเจนในด้านอารมณ์ความคิดในแง่มุมต่าง ๆ และสามารถ นำมาประมวลถ่ายทอดความรู้สึกนั้งลงในงานดนตรีที่เป็นอมตะของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้บาคสามารถยืนยงต่อคำวิพากษ์ของผู้คนทุกยุคทุกสมัย
 

ประวัติ ชาร์ลส์ ดิกคินส์ (Charles John Huffam Dickens)

 

 

ประวัติ
ชาร์ลส์ จอห์น ฮัฟแฟม ดิกคินส์ เป็นนักประพันธ์ชาวอังกฤษ และมีนามปากกาว่า “โบซ” (Boz) เกิดที่เมืองแลนด์พอร์ท แฮมเชียร์ อังกฤษใต้ สหราชอาณาจักร เป็นบุตรเสมียนฝ่ายเงินเดือนกองทัพเรือ ในปี พ.ศ. 2357 ดิกคินส์ได้ย้ายมาอยู่ในลอนดอนแล้วย้ายไปอยู่ที่เมืองแชทแธม และที่นี่เขามีโอกาสได้เข้าโรงเรียน และได้ทำงานเป็นเด็กรับใช้ในสำนักงานทนายความชั้นสอง แล้วจึงเริ่มทำงานด้านหนังสือพิมพ์และได้เป็นผู้สื่อข่าวและเข้าทำงานกับหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งในลอนดอนในเวลาต่อมา
ดิกคินส์ได้ตีพิมพ์บทความเป็นจำนวนมากใน วารสารรายเดือน ตามด้วยเรื่องย่อยและบทความลงในหนังสือพิมพ์กรอบบ่าย อีฟนิงครอนิเกิล ในปี พ.ศ. 2379 เขาได้ตีพิมพ์ เรื่องย่อยโดยโบซ (Sketches by Boz) และพิควิคเปเปอร์ (Pickwick Papers) และในปีเดียวกันได้แต่งงานกับแคเธอรีนบุตรสาวของเพื่อนชื่อ จอร์จ โฮการ์ท และมีบุตรด้วยกันถึง 10 คน แต่ก็ได้หย่าขาดจากกันเมื่อ พ.ศ. 2401
ชาลส์ ดิกคินส์ เป็นคนทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ ผลิตงานวรรณกรรมรวมทั้งงานเขียนเพื่อณรงค์ต่อต้านความชั่วร้ายในสังคมสมัยนั้นออกมาอย่างสม่ำเสมอเป็นจำนวนมาก และไม่เคยส่งเรื่องช้ากว่ากำหนดเลย ดิกคินส์เริ่มงานวรรณกรรมด้วยการเขียนลงหนังสือพิมพ์รายเดือนโดยเริ่มด้วยเรื่อง โอลิเวอร์ ทวิสต์ (พ.ศ. 2380-2382) นิโคลาส นิคเกิลบี (พ.ศ. 2381-2382) และเรื่อง ดิโอลเคียวริโอซิตีชอพ (พ.ศ. 2383-84) หลังจากนี้ ดิกคินส์ได้ไปใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาในต่างประเทศ งานในระยะหลังของเขาได้แก่ เดวิด คอบเปอร์ฟิลด์ (พ.ศ. 2392-93) บลีกเฮาส์ (พ.ศ. 2395-96) เรื่องของสองนคร (พ.ศ. 2402) ความคาดหวังอันยิ่งใหญ๋ (Great Expectation – พ.ศ. 2403-04) และงานเขียนที่ยังไม่จบเรื่อง ความลึกลับของเอดวิน ดรูด (The Mystery of Edwin Drood – พ.ศ. 2413)


 ประวัติ วอลท์ ดิสนีย์ (walt disney)

 
ประวัติ
เดอะวอลท์ดิสนีย์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923) ในชื่อ "ดิสนีย์บราเธอส์คาร์ตูนสตูดิโอ"
(
Disney Brothers Cartoon Studio) โดยสองพี่น้องดิสนีย์ วอลท์ ดิสนีย์ และ รอย ดิสนีย์ หลังจากที่ทั้งคู่ได้ทำสัญญากับ เอ็ม. เจ. วิงเกลอร์ ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ในฮอลลีวูด โดยซ็นสัญญาการ์ตูนชุด อลิซคอเมดีส์ (Alice Comedies) ที่วอลท์ได้เริ่มทำเมื่อสมัยที่ทำภาพยนตร์ที่แคนซัสซิตี หลังจากบริษัทก่อตั้งได้ระยะหนึ่ง บริษัทได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "วอลต์ดิสนีย์สตูดิโอ" (Walt Disney Studio) หลังจากสี่ปีที่ได้เปิดบริษัทมา วอลท์มีไอเดียสร้างตัวละครขึ้นมาใหม่ ซึ่งได้แก่ ออสวอลด์ เดอะ ลักกีแรบบิต (Oswald the Lucky Rabbit) แต่ทว่าเมื่อผ่านไปหนึ่งปี ทางผู้จัดจำหน่ายได้หยุดการให้ทุนวอลท์ดิสนีย์ แต่ได้นำตัวละครออสวอลท์ไปสร้างต่อกับบริษัทอื่นแทน ทำให้วอลท์จำเป็นต้องหาทุนถ่ายทำใหม่รวมถึงสร้างตัวละครการ์ตูนขึ้นมาใหม่ วอลท์ได้นำหนูมาเป็นตัวละครและตั้งชื่อให้ว่า มอร์ติเมอร์ (Mortimor) แต่ภรรยาของเขาแนะนำให้ใช้ชื่อ มิกกี (Mickey) แทน ซึ่งในตอนที่สามของการ์ตูนชุดในชื่อ สตีมโบตวิลลี (Steamboat Willie) นี้ วอลต์ได้นำเสียงประกอบมาใช้ในการ์ตูน และ ได้ออกฉายเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2471 ที่โรงละครโคโลนีในนิวยอร์ก ซึ่งได้รับการต้อนรับมากมายจากผู้ชมและนักวิจารณ์ ซึ่งเป็นก้าวแรกของความสำเร็จของวอลท์ดิสนีย์ ต่อมาวอลท์ได้สร้างการ์ตูนชุดใหม่ในชื่อ ซิลลีซิมโฟนีส์ (Silly Symphonies) โดยฟลาเวอรส์แอนด์ทรีส์ในชุดนี้เป็นการ์ตูนรื่องแรกของดิสนีย์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ ในปี พ.ศ. 2498 วอลท์ได้เปิดสวนสนุกในชื่อดิสนีย์แลนด์รีสอร์ต