วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อนุสาวรีย์เสรีภาพ

 
 
 
อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ หรือ รูปสแตทิวออฟลิเบอร์ตี้ เป็นอนุสาวรีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ "เสรีภาพ" ของคนอเมริกัน เป็นรูปสตรียืนสูงเด่นอยู่บนแท่นทรงสี่เหลี่ยมสูงที่ตั้งอยู่บนฐานกว้าง 3 ชั้นรองรับกลมกลืนอย่างดี ลดหลั่นกันลงไปอยู่เบื้องล่าง ตัวเทพีสูง 152 ฟุต แขนแต่ละข้างยาว 42 ฟุต นิ้วชี้ยาว 8 ฟุต เล็บนิ้วยาว 10-13 นิ้ว ยืนอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมสูง 150 ฟุต ส่วนที่เป็นลำตัวทำด้วยทองแดงสีเขียวเทอร์คอยส์ ห่มผ้าครุยกรอมเท้า ที่ศรีษะสวมมงกุฏเป็นรัศมีเจ็ดแฉก มือขวาถือโคมไฟชูสูงขึ้นสุดแขน มือซ้ายประคองหนังสือที่ปกเขียนว่า "4 กรกฏาคม 1776" อันเป็นวันประกาศอิสรภาพของอเมริกา ไม่ขึ้นต่ออังกฤษอีกต่อไปและถือเป็นวันชาติอเมริกันมาจนทุกวันนี้

ด้านในตัวเทพีโปร่งเป็นโครงเหล็กที่ออกแบบและคำนวณโดยนายกุสตาฟไอเฟล วิศวกรชื่อดัง (ผู้สร้างหอไอเฟล) โดยแยกเป็นชิ้นส่วนบรรจุในลังทั้งหมดถึง 214 ลัง เมื่อนำมาต่อเป็นรูปร่างแล้วสูงถึง 302 ฟุต (วัดจากปลายคบไฟถึงปลายเท้า) ใช้แผ่นโลหะทองแดงในการหล่อ 32 ตัน รมสีเขียวทั้งตัวเทพี ด้านบนส่วนคบไฟติดตั้งระบบแสงไฟฟ้าสีเขียว 13,250 วัตต์ มีบันไดเวียนให้ผู้เข้าชมขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์บนส่วนที่เป็นมงกุฎของเทพี สิ้นค่าใช้จ่าย 700,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 14,000,000 บาท

ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ขนาดเนื้อที่แค่ 12 เอเคอร์ (ราว ๆ 30 ไร่) ทำทางเดินขนาดใหญ่เข้าสู่ทางด้านหลังของอนุสาวรีย์ แล้วมีทางเดินรอบเลาะริมน้ำให้ชมได้ทุกมุมนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ถึงมงกุฏ หรือ ขึ้นถึงแค่ฐานสี่เหลี่ยมต่ำกว่าเท้าขององค์อนุสาวรีย์


ความเป็นมาของเทพีเสรีภาพ
สัญลักษณ์แห่งความอิสระแก่ชนอเมริกันและชาวโลก ของขวัญอันยิ่งใหญ่จากชาวฝรั่งเศส

เมื่อ ค.ศ. 1865 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้มีนักวิชาการหัวก้าวหน้า และกลุ่มหนุ่มไฟแรงไปพบปะสนทนาด้วยเรื่องการบ้านการเมืองที่บ้านนายเอดู อาร์ต เดอลา บูลาเยอ ถึงการปกครองที่ไม่ได้รับความเป็นเสรีภาพเสมอภาค จากองค์จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 และพวกเขากลับไปชื่นชมชาวอเมริกันที่มีความหาญกล้า ลุกฮือกันต่อสู้กับอังกฤษจนสามารถปลดแอกออกจากอังกฤษได้สำเร็จ จากสถานการณ์และความรู้สึกนี้เองทำให้พวกเขาเกิดจุดประกายความคิดที่จะสร้างงานศิลป์ชิ้นหนึ่ง ให้เป็นของขวัญแก่ชาวอเมริกันซึ่งจะมีงานเฉลิมฉลองวันชาติอเมริกาครบ 100 ปี ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1876 ที่จะมาถึง โดยร่วมกันรณรงค์หาเงินทุน ในการสร้างจากประชาชนฝรั่งเศสทั่วประเทศ

ในที่สุดเขาเหล่านั้นก็มอบให้ เฟรเดริก ออกุสต์บาร์โธลดีศิลปินมีชื่อในการปั้นเป็นผู้ออกแบบ โดยลงมติว่าของขวัญจะเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ คือรูปผู้หญิงแต่งกายชุดเสื้อคลุม เหมือนชาวโรมันสวมมงกุฎมีลักษณะเป็นรูปเดือยแหลมพุ่งออกมา 7 แฉก สื่อความหมายถึง 7 ทวีป และ 7 คาบมหาสมุทรในท่ายืนชูคบไฟ ด้วยมือขวาคือเป็นผู้ให้แสงสว่างแก่เสรีภาพมือซ้ายถือแผ่นจารึกประกาศอิสรภาพ จารึกอักษร 4 JULY 1876 เท้าข้างหนึ่งมีโซ่ตรวนที่ขาดสะบั้นแทนความหลุดพ้นจากการเป็นทาส ตัวเทพีหล่อด้วยโลหะทองแดง การดำเนินสร้างส่วนฐานติดตั้งตัวเทพี เป็นภารกิจของชนชาวมะกันที่ร่วมกันระดมทุนสร้างเป็นตึกสูง 87 ฟุต ด้วยการออกแบบของสถาปนิกชาวมะกัน ริชาร์ด มอร์ริส ฮันท์ ภายในตัวตึกจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติการสร้างอนุสาวรีย์ และการสร้างชาติสหรัฐอเมริกา พิธีเปิดเป็นทางการโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ โกรฟเวอร์ คลีฟ-แลนด์ ในวันที่ 28 ตุลาคม 1886 ท่ามกลางความปีติ ของชาวอเมริกันและชาวฝรั่งเศสในยุคนั้นเป็นอย่างยิ่ง

มีเรื่องเป็นทางการว่า “อนุสาวรีย์แด่อิสรภาพของอเมริกัน : เสรีภาพส่องแสงสว่างแก่ชาวโลก” (MONUMENT TO AMERICAN INDEPENDENT : LIBERTY ENLIGHTENING THE WORLD) ในวันที่ 4 กรกฎาคมของทุก ๆ ปี ชาวอเมริกันจะจัดเฉลิมฉลองวันชาติของตน ณ บริเวณอนุสาวรีย์เทพีสันติภาพแห่งนี้ด้วยความภูมิใจในความเป็นชาติมหาอำนาจ และประเทศผู้นำระบอบการปกครองประชาธิปไตยของโลกอย่างเต็มความภาคภูมิ
อนุสาวรีย์วอชิงตัน

อนุสาวรีย์วอชิงตัน
อนุสาวรีย์วอชิงตัน (Washington Monument) ตั้งอยู่ ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา มีลักษณะเป็นแท่งโอเบลิสก์ ทำด้วยหินอ่อน หินแกรนิต และหินทราย สูง 169 เมตร เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในวอชิงตัน ดี.ซี. ได้รับการออกแบบโดยโรเบิร์ต มิลส์ สถาปนิกในยุคนั้น อนุสาวรีย์วอชิงตันได้มีการเริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1848 สร้างเสร็จก็ในปี ค.ศ. 1884 ซึ่งใช้เวลาสร้างนานถึง 36 ปี เหตุผลที่เกิดการสร้างมายาวนานขนาดนี้ก็คือ เนื่องจากเงินบริจาคหมด ประกอบกับการเกิดสงครามกลางเมืองอเมริกัน และเมื่อสร้างเสร็จในเวลาต่อมาก็ได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1888 ใช้หินไป 36,491 ก้อน หนัก 90,854 ตัน ใช้เงินไปทั้งสิ้น 1,187,710 เหรียญสหรัฐ นอกจากเป็นอนุสาวรีย์แล้ว ข้างบนยังเป็นจุดชมวิว มีลิฟต์และบันได 897 ขั้น หินแต่ละก้อนที่นำมาสร้างบันไดในอนุสาวรีย์ได้มาจากที่ต่างๆทุกรัฐของอเมริกา และจากการบริจาคจากองค์กรเอกชนและรัฐบาลมิตรประเทศต่างๆของอเมริกา อาจเรียกว่าเป็นหินนานาชาติก็ว่าได้
อนุสาวรีย์วอชิงตันอนุสาวรีย์วอชิงตัน
อนุสาวรีย์วอชิงตันอนุสาวรีย์วอชิงตัน

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ : Albert Einstein


ประวัติ

เกิด วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1879 ที่เมืองอูล์ม (Ulm) ประเทศเยอรมนี
เสียชีวิต วันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ.1955 ที่เมืองนิวเจอร์ซี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา
ผลงาน
- ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity)
- ค้นพบทฤษฎีการแผ่รังสี (Photoelectric Effect Theory)
- ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ในปี ค.ศ.1921


ในบรรดานักวิทยาศาสตร์ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 ไอน์สไตน์ถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และอาจกล่าวได้ว่า เขาคือผู้ยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยระเบิดปรมาณูอันทรงอานุภาพแห่งการทำลายล้าง เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น ไอน์สไตน์ ได้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งถึงประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์ (Franklin Delano Roosevelt) เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของ แร่ยูเรเนียมที่สามารถนำมาสร้างลูกระเบิดพลังงานการทำลายสร้างรุนแรง เพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นประกาศแพ้สงคราม และนำสันติภาพ มาสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตกลงทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกลงที่เมืองฮิโรชิมา (Hiroshima) ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลให้คนเสียชีวิตทันทีกว่า 60,000 คน และเสียชีวิตภายหลังอีกกว่า 100,000 คน

ไอน์สไตน์เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1879 ที่เมืองอูล์ม ประเทศเยอรมนี ไอน์สไตน์เป็นชาวเยอรมันแต่ก็มีเชื้อสายยิวด้วย บิดาของไอน์สไตน์เป็นเจ้าของร้านจำหน่ายเครื่องยนต์และสารเคมี ชื่อว่า เฮอร์แมน ไอน์สไตน์ (Herman Einstein) ต่อมาเมื่อ ไอน์สไตน์อายุได้ 1 ขวบ บิดาได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองมิวนิค ซึ่งคนส่วนใหญ่ในเมืองเป็นชาวยิวเช่นเดียวกับเขา ทำให้เขาไม่มีปัญหากับ เพื่อนบ้าน ไอน์สไตน์เป็นเด็กที่เงียบขรึม และมักไม่ค่อยชอบออกไปเล่นกับเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน จนบิดาเข้าใจว่าเขาเป็นคนโง่ จึงได้จ้างครูมาสอนพิเศษให้กับไอน์สไตน์ที่บ้าน โดยเฉพาะเรื่องการพูด ถึงแม้ว่าการพูดของเขาจะดีขึ้น แต่เขาก็ยังเงียบขรึม และ ไม่ออกไปเล่นกับเพื่อนเหมือนเช่นเคย เมื่อไอน์สไตน์อายุได้ 5 ขวบ บิดาได้ส่งเข้าโรงเรียนที่ยิมเนเซียม (Gymnasium) นักเรียน ในโรงเรียนแห่งนี้ทั้งหมดเป็นชาวเยอรมัน และนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ถึงอย่างนั้นไอน์สไตน์ก็เข้ากับเพื่อนได้ดี แต่สิ่งที่เขาไม่ชอบมากที่สุดในโรงเรียนก็คือการสอนที่น่าเบื่อหน่าย ที่ใช้วิธีการท่องจำเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีการที่เขาเกลียดที่สุด ทำให้ไอน์สไตน์ไม่อยากไปโรงเรียน มารดาจึงหาวิธีแก้ปัญหาให้ไอน์สไตน์ โดยการให้เขาเรียนไวโอลินและเปียโนแทน แต่วิชาที่ ไอน์สไตน์ให้ความสนใจมากที่สุดคือ คณิตศาสตร์ โดยเฉพาะวิชาเรขาคณิตเป็นวิชาที่เขาชอบมากที่สุด ทำให้เขาละทิ้งวิชาอื่น ยกเว้นวิชาดนตรี และเรียนวิชาอื่นได้แย่มาก แม้ว่าจะทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีมาก เขาก็มักจะถูกครูตำหนิอยู่เสมอ

ต่อมาไอน์สไตน์อายุ 15 ปี กิจการโรงงานของพ่อเขาแย่ลง เนื่องจากการรวมตัวของบริษัทผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าและเคมีหลายแห่ง ทำให้โรงงานของพ่อเขาไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้ ครอบครัวของเขาต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองมิลาน (Milan) ประเทศอิตาลี (Italy) แต่ไอน์สไตน์ไม่ได้ย้ายตามไปด้วย เพราะยังติดเรียนอยู่ แต่ด้วยความที่เขาคิดถึงครอบครัวมาก หลังจากนั้นอีก 6 เดือน เขาได้วางแผน ให้แพทย์ออกใบรับรองว่าเขาป่วยเป็นโรคประสาท เพื่อให้เขาได้เดินทางไปหาพ่อกับแม่ที่อิตาลี เมื่อเป็นเช่นนั้นไอน์สไตน์จึงเดินทาง ไปหาครอบครัวที่มิลาน แต่ก่อนที่เขาจะออกเดินทางเขาได้ขอใบรับรองทางการศึกษา เพื่อสะดวกในการเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนอื่น

ต่อมาไอน์สไตน์ได้สอบเข้าเรียนต่อวิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ที่วิทยาลัยโปลีเทคนิค เมืองซูริค (Federal Poleytechnic of Zurich) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไอน์สไตน์สอบวิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนดีมาก ส่วนวิชาชีววิทยาและภาษา ได้แย่มาก ทำให้ เขาไม่ได้รับคัดเลือกให้เข้าเรียนในวิทยาลัยแห่งนี้ ต่อมาอีก 1 สัปดาห์ เขาได้รับจดหมายจากครูใหญ่วิทยาลัยโปลีเทคนิค ได้เชิญเขา ไปพบและแนะนำให้เขาไปเรียนต่อ เพื่อให้ได้ประการศนียบัตร ซึ่งสามารถเข้าเรียนต่อวิทยาลัยโปลีเทคนิคได้โดยไม่ต้องสอบ หลัง จากนั้นเขาจึงเข้าเรียนที่วิทยาลัยของสวิตเซอร์แลนด์ ตามหลักสูตร 1 ปี ระหว่างนี้เขาได้พักอาศัยอยู่กับครูผู้หนึ่งที่สอนอยู่ในโรงเรียน แห่งนี้ ไอน์สโตน์รู้สึกชอบวิทยาลัยแห่งนี้มาก เพราะการเรียนการสอนเป็นอิสระไม่บังคับ และไม่จำกัดมากจนเกินไป แนวการสอน เป็นการกระตุ้นให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน นอกจากนี้สภาพแวดล้อมในการเรียนยังดีมากดีด้วย เพราะได้มีการจัด ห้องเรียนเฉพาะสำหรับแต่ละวิชา เช่น ห้องเรียนภูมิศาสตร์ก็มีภาพแผนที่ สถานที่ต่าง ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แขวนไว้ โดยรอบห้อง ส่วนห้องเคมีก็มีอุปกรณ์ในการทดลองวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย นอกจากนี้โรงเรียนแห่งนี้ยังมีนักเรียนจำนวนมาก ทำให้ ไอน์สไตน์ไม่รู้สึกว่ามีปมด้อยที่เป็นชาวยิวอีกต่อไป หลังจากที่เขาจบหลักสูตรที่โรงเรียนมัธยม 1 ปี ไอน์สไตน์ได้เข้าเรียนต่อที่วิทยาลัย เทคนิคในสาขาวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ตามที่ได้ตั้งใจไว้