วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557


Carnival
คาร์นิวัล จัดขึ้นในหลายประเทศ ทั่วโลก ที่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ประเทศในทวีปเอเซียที่มีการจัดงานคาร์นิวัล เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย และญี่ปุ่น สำหรับกำหนดวันจัดงานจะแตกต่างกันไปตามความต้องการของแต่ละเมือง ... สัญลักษณ์ของงานคาร์นิวัลที่เห็นได้ชัดเจน คือ การแต่งกายของผู้ร่วมเดินขบวนพาเหรดด้วยชุดแฟนซีสีสันฉูดฉาดสวยงาม ผู้ร่วมเดินขบวนพาเหรดจะเดินเป็นทีมไปตามท้องถนนที่กำหนด และมีผู้เฝ้ารอชมตลอดสองข้างทาง ... งานคาร์นิวัลที่มีชื่อเสียงของโลก เช่น Carnival in Italy และ Brazilian Carnival โดยเฉพาะคาร์นิวัล ที่เมืองริโอ เดอ จาเนโร ได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองหลวงแห่งเทศกาลคาร์นิวัลของโลก และเป็นประเพณีที่จะต้องมีการจัดเทศกาลนี้ขึ้นทุกปี
The Carnaval in Rio de Janeiro หรือ Rio Carnival ระยะเวลาการจัด 5 วัน ก่อนจะเริ่มเทศกาลมหาพรต (Lent) ของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ในวันพุธ (Ash Wednesday) สำหรับปี 2013 งานคาร์นิวัล เริ่มงานตั้งแต่วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ ถึงวันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2013 โดยหลังงานเทศกาล ชาวคริสต์ทุกคนถูกคาดหวังให้ละเว้นจากความสุขทางกาย หรือเป็นช่วงถือศีลอด เป็นเวลา 40 วัน อาจกล่าวได้ว่าเป็นการสนุกสุดเหวี่ยงในงานคาร์นิวัล แล้วบอกลาต่อความสุขจากเนื้อหนังมังสาก็ว่าได้ ... จุดสำคัญที่สุดของงานเทศกาลอยู่ที่ การแข่งขันเต้นระบำแซมบ้าของโรงเรียนสอนเต้นแถวหน้าของบราซิล 12 แห่ง ซึ่งจะมาประชันกัน ปีละครั้ง ทั้งลีลาท่าเต้น ความเริดหรูอลังการของเสื้อผ้า หน้า-ผม ความคิดสร้างสรรค์และความงดงามของขบวนรถแห่ ณ สนามกีฬาแซมโบโดรม ... งานริโอ คาร์นิวัล ในปี 2013 มีนักแสดงและแดนเซอร์จาก 492 คณะ มีผู้ชมทั้งชาวบราซิลเลียนและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกไปชุมนุมกันนับล้านคน

ทราบว่าในบางปี มีทีมแดนเซอร์จากเมืองพัทยา ประเทศไทย บินไปร่วมขบวนพาเหรดด้วย จขบ.เคยอ่านเจอจากกระทู้ในพันทิป ผู้ตั้งกระทู้ซึ่งร่วมเดินทางไปกับคณะพาเหรดบอกว่า กว่าจะเสร็จงานนี้ ขอบอกว่าแทบเดินไม่ไหว เพราะขบวนทั้งหมดยาวมากๆ เสื้อผ้า และอุปกรณ์จากเมืองไทยที่นำไปโชว์ จัดหนัก จัดเต็ม ไม่ยอมแพ้ใครอยู่แล้ว ทีนี้กว่าจะถึงลำดับคิวที่คนไทยจะได้แสดง ก็ต้องยืนรอ พร้อมเสื้อผ้า ชฎา ที่หนัก นานหลายชั่วโมง รองเท้าที่เตรียมไปของทุกคนก็สูงปรี๊ด แต่งานนี้ ประสบการณ์ที่ได้รับ ล้ำค่า ได้รับการถ่ายรูปราวกับเป็นดาราผู้ยิ่งใหญ่ ... ริโอ คาร์นิวัล ไม่ได้เป็นเพียงงานคาร์นิวัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากแต่ยังเป็นมาตรฐานให้งานคาร์นิวัลอื่นๆ ของทุกประเทศในโลก เปรียบเทียบเมื่อมีการจัดงานในแต่ละปี รวมทั้งยังเป็นหนึ่งในงานแสดงผลงานด้านศิลปะที่มีชีวิต ที่น่าสนใจที่สุดของโลกอีกด้วย

A beautiful show takes place in Rio Carnival, with samba schools parading in the Sambadrome. Called "One of the biggest shows of the Earth", the festival attracts millions of tourists, both Brazilians and foreigners who come from everywhere to participate and enjoy the great show. Samba Schools are large, social entities with thousands of members and a theme for their song and parade. Some of the most famous samba-schools include GRES Estação Primeira de Mangueira, GRES Portela, GRES Imperatriz Leopoldinense, GRES Beija-Flor de Nilópolis, GRES Mocidade Independente de Padre Miguel, and recently, Unidos da Tijuca and GRES União da Ilha do Governador Local tourists are allowed to participate, paying ($500–950), depending on the costume, to buy a Samba costume and dance in the parade through the Sambadrome with one of the schools. The price paid is used to buy the tourist's own costume and also the costumes of the people who do not have the money to afford it. The Rio and Brazilian Carnival, is going "global" as a recent article by "Market Watch / The Wall Street Journal". which explained how the Carnival industry chain amassed in 2012 almost US$1 billion in revenues.



วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

Jacques-Yves Cousteau

Jacques-Yves Cousteau เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๑๐ ที่เมืองเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ชีวิตในวัยเด็กของเขานั้นค่อนข้างโลดโผนและปฏิเสธการเรียนภายในห้องเรียนที่ แสนจะน่าเบื่อ แต่สิ่งที่เขาชอบมากที่สุดก็คือท้องทะเล ที่เขามักจะกล่าวถึงอยู่เสมอ ๆ ว่าเป็นห้องเรียนที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในโลก
เขาได้ใช้ชีวิตช่วงวัยหนุ่มในการเข้าประจำการเป็นทหารเรือแห่งราชนาวี ฝรั่งเศส ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เขาเริ่มต้นค้นหาวิธีการที่จะอยู่ใต้น้ำให้ได้นาน ๆ โดยร่วมมือกับเพื่อน ๆ หลายคนพัฒนาระบบอุปกรณ์ดำน้ำที่เรียกว่า Aqualung ได้เป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ. ๑๙๔๓ และเจ้าอุปกรณ์นี้เองก็คือต้นแบบของอุปกรณ์ดำน้ำที่เราใช้กันอยู่ทั่ว ๆ ไปในปัจจุบัน นอกเหนือไปจากอุปกรณ์ดำน้ำแล้ว เขาได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับใช้ในงานศึกษาและวิจัยโลกใต้ท้องทะเลอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกล้องสำหรับถ่ายภาพใต้น้ำ กล้องถ่ายภาพยนตร์ใต้น้ำ ยานพาหนะใต้น้ำ แม้กระทั่งบ้านที่อยู่ใต้น้ำ
ในปี ค.ศ. ๑๙๕๐ เขาลาออกจากกองทัพเรือและเริ่มต้นก่อตั้งCousteau Society ขึ้นมาเพื่อเป็นองค์กรอิสระที่จะทำงานเพื่อศึกษาวิจัยความรู้ในทุก ๆ ด้านที่เกี่ยวกับท้องทะเล เขาและเรือ Calypso ได้ออกเดินทางไปสำรวจน่านน้ำทุกหนทุกแห่งบนโลก (เรือ Calypso เคยเดินทางเข้ามาสำรวจทางสมุทรศาสตร์ในประเทศไทยหลายครั้งด้วยกัน ครั้งล่าสุดที่เขาเดินทางมาด้วยและได้ดำน้ำลงไปสำรวจด้วยตัวเอง เขาพบว่าสภาพใต้น้ำของประเทศไทยนั้นมีอัตรการถูกทำลายเพิ่มขึ้นสูงมากที่สุด แห่งหนึ่งในโลก) ด้วยความมุ่งหวังที่เขาเชื่อว่าท้องทะเลคือคำตอบสุดท้ายของปัญหาหล่ย ๆ อย่างบนโลก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของอาหาร ที่อยู่อาศัย ซึ่งนับวันจะทวีขึ้นจากจำนวนประชากรบนโลกที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ วัน
การทดลองของเขาเคยถึงกับพยายามสร้างเมืองที่อยู่ใต้น้ำขึ้นมา แม้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ก็ถือได้ว่าเป็นความพยายามครั้งแรกของมนุษย์ ซึ่งจะกลับลงไปอยู่ใต้ท้องทะเลที่เราเชื่อกันว่าเป็นจุดกำเนิดแห่งสรรพชีวิต บนโลกใบนี้
ในช่วงหลังเขาได้เปลี่ยนบทบาทของตนจากนักสำรวจโลกใต้ท้องทะเล มาเป็นแนวหน้าที่ประกาศการต่อสู้ให้ชาวโลกได้ตระหนักถึงอันตรายที่อาจจะเกิด ขึ้นจากการพังทลายของความสมดุลทางธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์เป็นผู้กระทำขึ้นจากการตักตวงผลประโยชน์จากท้องทะเลที่มากเกินไป กว่าที่ท้องทะเลจะรักษาสมดุลนั้นเอาไว้ได้
แม้ว่าในปัจจุบันงานของ Cousteau Society จะไม่ค่อยปรากฏให้เห็นมากเท่าใดหลังจากที่เขาวางมือและให้ Jean-Michel Cousteau ลูกชายของเขาเข้ามาดูแลงานแทน แม้ว่าเรือ Calypso ที่เคยแล่นตระเวนไปทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำจะจมลงที่ท่าเรือแห่งหนึ่งใน สิงค์โปร์เมื่อไม่นานมานี้ และแม้ว่าร่างของเขาจะไม่เหลืออยู่บนโลกนี้แล้วก็ตาม เราทุกคนเชื่อว่าสิ่งที่เขาสร้างเอาไว้จะไม่สูญเปล่า เมื่อในวันนี้ชาวโลกทุกคนต่างก็ตระหนักถึงความสำคัญของท้องทะเลที่มีต่อมวล มนุษยชาติมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
วัชกู ดา กามา


วัชกู ดา กามา (โปรตุเกส: Vasco da Gama; ประมาณ พ.ศ. 2003-2068) หรือ วาสโก ดา กามา ตามการออกเสียงในภาษาอังกฤษ เป็นนักเดินเรือสำรวจชาวโปรตุเกส เกิดที่เมืองซีนิช แคว้นอาเลงเตชู ประเทศโปรตุเกส สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการค้บพบเส้นทางการเดินเรือจากยุโรปสู่อินเดียหว่างปี พ.ศ. 2040-42 โดยแล่นเรือตรงจากกรุงลิสบอน ไปถึงชายฝั่งมะละบาร์ ตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย โดยแล่นเรืออ้อมผ่านแหลมกู๊ดโฮป ทางตอนใต้ของแอฟริกาซึ่งบาร์ตูลูเมว ดีอัช (Bartolomeu Dias) เป็นผู้ค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2031
วัชกู ดา กามา ได้รับมอบหมายจากกษัตริย์มานูเอล ที่ 1 แห่งโปรตุเกสให้ไปค้นหาอินเดียที่เชื่อกันในสมัยนั้นว่าเป็นแผ่นดินคริสเตียนที่เล่าลือแพร่หลายเกี่ยวกับ เปรสเตอร์ จอห์น พระคริสเตียนแห่งอินเดียผู้ครอบครองนคร 100 แห่งในโลกตะวันออก รวมทั้งเพื่อการหาลู่ทางเปิดตลาดค้าขายกับโลกตะวันออก
ต่อมา อีกครั้งหนึ่งระหว่างปี พ.ศ. 2045-2047 วัชกู ดา กามา ได้นำกองเรือมุ่งสู่กาลิกัต (Calicat) เพื่อล้างแค้นจากการที่กลุ่มนักสำรวจชาวโปรตุเกสที่เปดรู อัลวาริช กาบราล (นักสำรวจสำคัญของโปรตุเกส) ปล่อยไว้ที่นั่นถูกฆ่า ในปี พ.ศ. 2067 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุปราชแห่งอินเดีย แต่ต่อมาไม่นาน วัชกู ดา กามา ก็ล้มป่วยและเสียชีวิตที่โคชิน (Cochin) และได้รับการนำศพกลับโปรตุเกส
วัชกู ดา กามา มีชีวิตอยู่ในสมัยอยุธยาตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐาธิราช)
ในขณะที่โคลัมบัสและคอบอตยังคงทำความพยายามที่จะมาถึงภาคตะวันออกให้ได้ด้วยการแล่นเรือตรงไป ทางตะวันตกอย่างเดียวนั้น กองเรือของปอร์ตุเกสในการนำของวาสโกดากามาก็ออกสำรวจเลียบฝั่งอาฟริกามุ่งลงทางทิศใต้ เมื่อ ค.ศ. 1497 เป็นเวลา 96 วัน กองเรือของเขาจึงมาถึงแหลมกูดโฮปของอาฟริกา ที่นั่งมีพายุพัดต้านทางเดินเรืออย่างแรง แต่วาสโกดากามาก็หาหนทางแล่นเรืออ้อมปลายแหลมนั้น ด้วยวิธีแล่นเป็นฟันปลาจนสามารถนำเรือไปสู่มหาสมุทรอินเดียที่มีคลื่นลมสงบได้ แต่เนื่องจากลูกเรือและเรืออยู่ในสภาพบอบช้ำ เสบียงอาหารก็มีน้อยลงเขาจึงแล่นเรืออ้อมขึ้นมาทางเหนือ แวะที่เมืองท่ามิลินดา ชั่วระยะหนึ่งแล้วจึงไปถึง เมืองโมแซมบิค ที่เมืองโมแซมบิค ได้ถูกกองเรือของสุลต่านแห่งพวกอาหรับยกมาโจมตี แต่ปืนเรือของวาสโกดากามาทำความตกใจให้แก่ข้าศึกจนล่าถอยไป เมื่อออกมาจากเมือง ก็แล่นเรือไปทางตะวันออกเป็นเวลา 10 เดือน 14 วันก็ถึงเมืองท่ากาลิกัต ของอินเดียเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1408 ได้หนทางกว่า 10,000 ไมล์ เป็นการเดินเรือที่ยาวที่สุดในสมัยนั้น หลังจากซื้อสินค้าต่าง ๆ จำพวกเครื่องเทศ ไหม และทองกับเงินได้เพียงพอแล้ว กองเรือของวาสโกดากามาก็กลับถึงลิสบอนนครหลวงของปอร์ตุเกสโดยปลอดภัย วาสโกดากามาจึงได้รับเกียรติเป็นบุคคลแรดที่พบความสำเร็จในการเดินเรือมาสู่อินเดีย
วาสโก ดา กามา ได้รับมอบหมายจากกษัตริย์มานูเอล ที่ 1 แห่งโปรตุเกสให้ไปค้นหาอินเดียที่เชื่อกันในสมัยนั้นว่าเป็นแผ่นดินคริสเตียนที่เล่าลือแพร่หลายเกี่ยวกับ เปรสเตอร์ จอห์น พระคริสเตียนแห่งอินเดียผู้ครอบครองนคร 100 แห่งในโลกตะวันออก
รวมทั้งเพื่อการหาลู่ทางเปิดตลาดค้าขายกับโลกตะวันออก
ต่อมาอีกครั้งหนึ่งระหว่างปี พ.ศ. 2045-2047 วาสโก ดา กามา ได้นำกองเรือมุ่งสู่กาลิกัต (Calicat) เพื่อล้างแค้นจากการที่กลุ่มนักสำรวจชาวโปรตุเกสที่เปดรู อัลวาริช กาบราล (นักสำรวจสำคัญของโปรตุเกส) ปล่อยไว้ที่นั่นถูกฆ่า ในปี พ.ศ. 2067 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุปราชแห่งอินเดียแต่ต่อมาไม่นาน วาสโก ดา กามา ก็ล้มป่วยและเสียชีวิตที่โคชิน (Cochin) และได้รับการนำศพกลับโปรตุเกส
ยูนิคอร์นม้ามังกรเขาเดียว เป็นสัตว์ใหญ่โตป่าเถื่อนที่สุด เรือสำเภาสามลำเรียงกัน มันเอาเขาชนทีเดียวเรือทะลุหมด
กะลาสีเห็นสัตว์ผีทะเลตัวนี้ก็ตกใจขวัญหนีดีฝ่อ เห็นทะเลเป็นทุ่งหญ้าก็กระโจนลงไปหมายเอาตัวรอด...
กลางมหาสมุทรยังมีสะดือทะเล เป็นวังวนดูดเรือแพจมไปหมด ถ้าไม่ใช่สะดือทะเล ก็เป็นกระทะใหญ่ น้ำร้อนเดือดพล่านและบนฟ้าก็มีไฟแลบลงมาเผาเรือแพเป็นจุลไปเหมือนกัน
เรื่องอันน่ากลัวนี้ วัสโกดากามาได้ยินคนบอกกล่าวมาแล้ว แต่วันหนึ่งเป็นวันที่ ๙ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๔๙๗ วัสโกดากามาพร้อมด้วยเรือสำเภา ๔ ลำ กะลาสี ๑๑๘ คนก็เตรียมพร้อมที่จะออกจากประเทศปอร์ตุเกส เพื่อหาทางเดินเรือไปประเทศอินเดีย
นายเรือผู้ใหญ่ยิ่งเต็มไปด้วยหนวดเคราผู้นี้ เวลานั้นยังอยู่ในวัยฉกรรจ์อายุได้สามสิบปีพอดี ๆ รู้จักภัยอันตรายในมหาสมุทรเป็นอย่างดี รู้ว่าภัยอันเกิดจากธรรมชาตินั้นอาจร้ายแรงยิ่งกว่าเรื่องในนิยายปรัมปรานั้นอีก
เมื่อวัสโกดากามา ยก กองทัพเรือ ของเขาแล่นไปตามฝั่งอัฟริกาตะวันตก ตรงไปทางทิศใต้นั้น เขารู้ว่าอันตรายที่แท้จริงของชีวิตกำลังรอเขาอยู่ที่แหลมกูดโฮป วาสโกดากามาแปลกใจว่าทำไมเขาจึงตั้งชื่อนี้ให้แก่แหลมที่อยู่สุดอัฟริกาใต้
สองสามอาทิตย์ก่อนที่ดากามาจะออกเดินทางนั้น พระเจ้ามานูแอล กษัตริย์แห่งปอร์ตุเกสมีพระราชบัญชาให้ดากามาหาทางเดินเรือไปประเทศอินเดีย คนทั้งสองได้พูดจากันถึงการอ้อมแหลมอัฟริกาใต้ว่ามีอันตรายมาก ไม่เคยมีเรือลำใดรอดไปได้ ดากามาได้เรียกชื่อแหลมตรงนั้นว่าแหลมพายุ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้นก็ไม่พอพระทัย รับสั่งอย่างเย็นชาว่า ฉันไม่อยากฟังชื่อเช่นนี้, อย่าพูดอีกเลย เราต้องปลุกใจกะลาสีให้กล้าหาญ ให้มีความหวัง ตั้งแต่นี้ต่อไปถ้าจะพูดกันถึงที่ตรงนี้ก็ให้เรียกว่าแหลมกูดโฮป
วัสโกดามากาก็คุกเข่าลงขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วกราบบังคมทูลว่า ข้าพเจ้าจะอ้อมแหลม สมหวัง” (กูดโฮป) ไปจนถึงประเทศอินเดียหรือยอมตาย
ดากามาได้ออกเดินทางด้วยใจร้อนรน จะไปให้ถึงทิศใต้สุดของทวีปอัฟริกาให้เร็วที่สุด การเดินทางตั้งต้นจากแหลมแวร์แดไอแลนด์ แต่แทนที่จะเรียบฝั่งก็ตัดทางตรงไป ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคมถึงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ไม่ได้เห็นฝั่งเลย การอยู่กลางมหาสมุทรเช่นนี้ นานวันโรคขาดวิตามินก็เข้ามารุกราน ทำให้กะลาสีเจ็บป่วยเป็นโรคมือเท้าบวม เหงือกบวม จนกะลาสีโดยมากกินไม่ได้ เดินไม่ได้ และคนที่ป่วยก็ล้มตายกันไปหลายคน แต่คนที่ยังไม่ตายก็เดินทางต่อไปด้วยน้ำใจอดทน
เมื่อไปถึงน่านน้ำของแหลมปลายสุดอัฟริกาใต้นั้น ท้องฟ้าเป็นสีดำมืด และทันใดภูเขาคลื่นก็กลิ้งเข้าทุ่มเรือและประดังเข้ามาซ้อน ๆ กัน จนเรือไม่สามารถจะกระโจนคลื่นได้ ภูเขาคลื่นซัดใบเรือปลิวไปหมด กะลาสียืนไม่ติด ต้องเอาเชือกล่ามตัวตัวกับหลัก แต่หลักก็ปลิวไปด้วย
ดากามาผู้เป็นนายเรือก็เสียทาง บังคับเรือไม่ได้ แต่ก็ยังมีจิตใจไม่ลืมคำสัญญาที่ว่าไว้ ชนะหรือตาย เมื่อต้นหนและลูกเรือขอร้องให้กลับบ้าน ดากามาก็ร้องว่า ทะเลมันอิจฉาเรา ชื่อเสียงคอยเราอยู่ข้างหน้า มันกลัวเราจะไปถึง เราต้องไปให้ได้
ถึงลมพายุจะพัดให้เรือถอยหลัง กองทัพเรือ ของดากามาก็พยายามตั้งหัวตรงทิศทางอยู่เรื่อยไป ทะเลก็ทุ่มเรือแล้วทุ่มอีกจนลูกประสักหลุด เรือรั่ว เสบียงอาหารร่อยหรอ วันแล้วคืนเล่าท้องฟ้ายังคงดำมืด พายุพัดดังอื้ออึง แสดงอาการว่ามันมีชัยแล้ว
วัสโกดากามาเอาชีวิตของตัวเป็นเดิมพัน และขณะที่กล่าวนี้เขาก็ยังไม่ตาย เขาจะต้องต่อสู้กับมันอีก เขาตั้งหัวเรือให้เที่ยงตรงอยู่เสมอ และพายุก็ไม่ผ่อนแรงเลย มันพัดมาสุดกำลังเรื่อยไป ทำให้เรือกระท้านอยู่ตลอดเวลา ขณะนั้นรัศมีของดวงอาทิตย์พุ่งรอดเมฆดำลงมาช่องหนึ่ง แล้วพายุก็บรรเทา ทะเลค่อย ๆ ลดความดุเดือด ภายในไม่ช้า แหลมพายุ ก็กลายเป็นแหลม สมหวัง กูดโฮปอย่างแท้จริง
ดากามาและกะลาสีของเขามีชัยชนะเหมือนอัศจรรย์ ขณะนี้เขาแล่นอยู่ในน่านน้ำซึ่งไม่เคยมีเรือยุโรปได้ผ่านมาเลย เขาแล่นต่อไป ตรงไปยังประเทศอินเดีย ได้ผ่านเกาะโมซัมบิก, มอมบาซา, มาลินดี ไปถึงกัลกัตตาประเทศอินเดียวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๔๙๘
วันนั้นจึงเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ คือ วันแรกที่ตะวันออกกับตะวันตกมาพบกันทางทะเล สายการเดินสินค้าทางเรือก็เปิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา ที่ประเทศอินเดีย วัสโกดากามาไม่ได้รับการต้อนรับอันดี ผู้ปกครองเมืองกัลกัตตาบอกแก่วัสโกดากามาว่า ท่านมาที่นี่ทำไม? จงไปนรกเถิด
แต่วัสโกดากามาก็ไม่ยอมให้เวลาที่ยังอยู่เสียไปเหมือนที่ได้เสียไปแล้วเป็นอันมากนั้นอีก เขาซื้อสินค้าต่าง ๆ ลงบรรทุกเรือ เป็นต้น เครื่องประดับเพชรพลอย เครื่องเทศ เครื่องยา...
และแล่นเรือกลับไปถึงกรุงลิสบอนวันที่ ๑๘ กันยายน ค.ศ. ๑๔๙๙ วัสโกดากามาผู้ไปหาความตายหรือไปหาชื่อเสียง เมื่อเขาไม่ตาย เขาก็ได้ชื่อเสียง และได้ชื่อเสียงอย่างมากมาย ชื่อเสียงของเขาราคาแพงมาก กล่าวคือ คนที่ไปกับเขาเป็นเวลาสองปีนั้น ขากลับมาเหลือจำนวนครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งได้แต่ชื่อ ชีวิตหาไม่
เจมส์คุก (Captain James Cook)


เจมส์คุก (Captain James Cook) สำรวจปาซิฟิค
การแล่นเรือในมหาสมุทรปาซิฟิคนั้น นักเดินเรือต่างหวาดกลัวกันมากในเรื่องความอ้างว้างของมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งอาจจะพบกับพายุร้าย หรือพบกับความขาดแคลนอาหารกับน้ำจืดได้โดยง่าย ใช่แต่เท่านั้นปรากฏว่า โรคโลหิตออกตามไรฟันก็เป็นกันมากเพราะขาดอาหารบางอย่าง แต่อันตรายเหล่านี้หาได้เป็นอุปสรรคสำคัญ สำหรับนักสำรวจทะเลเช่นกัปตันเจมส์คุก นักเดินเรือชาวอังกฤษไม่ เขาได้เตรียมออกเดินเรือสำรวจมหาสมุทรปาซิฟิค เมื่อ ค.ศ. 1769 และได้เตรียมป้องกันโรคโลหิตออกตามไรฟัน 3 ทาง คือรักษาเรือให้สะอาดอยู่เสมอ จัดหาอาหารจำพวกส้มนะนาวให้ลูกเรือได้รับประทานทุกวัน และให้มีอาหารจำพวกปลาสดเมื่อเรือจอดตามฝั่ง เพราะเขาเชื่อว่าการให้อาหารที่ถูกต้องจะทำให้อนามัยของชาวเรือสมบูรณ์ โรคโลหิตออกตามไรฟันเพราะขาดอาหารคงจะไม่เกิดขึ้นได้เป็นแน่ โดยวิธีนี้ คุกจึงสามารถนำเรือและลูกเรือออกสำรวจมหาสมุทรปาซิฟิคได้หลายปี โดยไม่มีใครเป็นโรคเลือดออกตามไรฟันเลย ในการออกเดินทางสำรวจเที่ยวแรก เขาได้พบว่าเกาะนิวซีแลนด์มีอยู่ 2 เกาะใหญ่ ๆ ซึ่งเขาต้องเสียเวลา 6 เดือนในการแล่นเรือสำรวจฝั่งโดยรอบคิดเป็นระยะทาง 2,400 ไมล์ นอกจากนั้น เขายังได้พบฝั่งตะวันออก ของเกาะออสเตรเลียซึ่งในบริเวณนั้นเรือของเขาได้ชนกับหินใต้น้ำจนท้องเรือชำรุด ต้องรีบแล่นเข้าฝั่งแบะจัดการซ่อมแซมทันที่ ในขณะที่หยุดซ่อมแซมเรืออยู่นั้น เขาได้ออกสำรวจพร้อมด้วยลูกเรือบางคนของเขาเข้าไปภายในทวีป และได้พบจิงโจ้สัตว์ประหลาดที่มีถุงเลี้ยงลูกอยู่ที่ท้อง และขณะที่หยุดซ่อมเรือนั้น ได้ถูกชาวพื้นเมืองรบกวนหลายทางจนถึงกับจุดไฟป่าไล่พวกเขาไป เมื่อซ่อมเสร็จแล้วคุกก็นำเรือออกสำรวจต่อไปอีก คุกได้ออกทำการสำรวจมหาสมุทรปาซิฟิคหลายครั้ง ครั้งหลังสุดเขาได้ออกสำรวจทวีปแอนตาร์คติคทางขั้วโลกใต้บางส่วนของฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ เขาเป็นผู้พบหมู่เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรปาซิฟิคเป็นจำนวนมากมาย เช่นหมู่เกาะฮาไวเป็นต้น และขณะที่อยู่ในเกาะฮาไว เขาได้เกิดมีปากเสียงกับชาวเกาะ จึงถูกชาวเกาะทำร้ายตกลงไปในน้ำ ซึ่งถ้าเขาว่ายน้ำเป็นก็คงไม่ถึงตาย แต่เพราะเขาว่ายน้ำไม่เป็นเลยจึงจมน้ำตาย งานสำรวจของกัปตันคุก ช่วยทำให้โลกได้ทราบสภาพของภูมิศาสตร์ของโลกภาคมหาสมุทรปาซิฟิคมากขึ้นไปอีก เขาได้รับยกย่องว่าเป็นนักสำรวจสำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 18
วันนี้ในอดีต
27 ตุลาคม พ.ศ. 2271 : วันเกิด กับตันเจมส์ คุก นักเดินเรือชาวอังกฤษ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2271 วันเกิด กัปตันเจมส์ คุก (Captain James Cook) นักสำรวจ นักเดินเรือ และนักทำแผนที่ชาวอังกฤษ เขาเดินทางไปยังมหาสมุทรแปซิฟิก 3 ครั้ง และได้ทำแผนที่แนวชายฝั่งและหมู่เกาะต่าง ๆ เอาไว้ คุกเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้เข้ามาสำรวจประเทศออสเตรเลีย หมู่เกาะฮาวาย นิวฟาวด์แลนด์ นิวซีแลนด์ เขาเป็นนักเดินเรือคนแรกที่เดินเรือรอบโลกสำเร็จ
ช่วงต้นของชีวิต
เจมส์ คุกเกิดในตระกูลที่ต่ำต้อย ที่เมืองมาร์ตัน ในนอร์ท ยอร์คเชียร์ ที่ซึ่งขณะที่กลายเป็นเมืองมิดเดิลสโบร คุกเป็นหนึ่งในบุตรห้าคนของนายเจมส์ ซีเนียร์ และนางเกรซ ที่เป็นคนงานอพยพในฟาร์มของสกอตแลนด์ ในวัยเด็ก คุกได้ย้ายถิ่นฐานตามครอบครัวไปที่เมืองเกรท เอย์ตัน และได้รับการศึกษาในโรงเรียนท้องถิ่น โดยที่มีนายจ้างของบิดาเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนการศึกษา เมื่ออายุได้ 13 ปีเขาจึงเริ่มทำงานกับบิดาที่ขณะนั้นเป็นผู้จัดการฟาร์ม ในปีค.ศ. 1745 เมื่อเขามีอายุได้ 16 ปี คุกได้ออกจากบ้านไปเป็นคนงานฝึกหัดที่ร้านค้าของชำในฮาร์เบอร์แดชเชอร์ หมู่บ้านชาวประมงในสเตรทส์ ด้วยทำเลที่ตั้งของหมู่บ้าน นั่นเป็นที่แรกที่คุกได้รับรู้ถึงสภาพของท้องทะเล จากการมองออกมานอกหน้าต่างร้านค้า
ย้อนกลับไปในอดีต โคลัมบัส จากสเปนค้นพบทวีปอเมริกา อังกฤษไม่ยอมแพ้ ต้องการค้นพบทวีปใหม่ทางโลกใต้เพื่อแข่งกับสเปน โดยมีกัปตันผู้ยิ่งใหญ่เจมส์ คุก อาสาเดินทางไปในที่ๆไม่เคยมีใครไปมาก่อน ซึ่งมหาทวีปทางโลกใต้มีจริงหรือไม่?? ก็ไม่มีใครล่วงรู้
การเดินทางที่ไปแล้วอาจไม่มีวันได้กลับมาอีกก็ได้ การเดินทางที่เหมือนเอาชีวิตไปทิ้งในท้องทะเล ความเสียสละและความกล้าหาญของนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ที่ทำให้อังกฤษได้กลายเป็นเจ้าแห่งพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน
กัปตันเจมส์ คุก คือผู้ปฏิวิตวิชาการเขียนแผนที่โลกที่ถูกต้องแม่นยำ(แม่นยำมากเมื่อเทียบกับแผนที่จากดาวเทียมในยุคนี้) และทฤษฎีการเขียนแผนที่ยุคใหม่ของกัปตันเจมส์ คุกก็ยังใช้จนถึงปัจจุบันนี้
และเราจะได้เห็นความเอาเปรียบจากผู้ที่เรียกตัวเองว่า ผู้เจริญกว่าซื้อผู้หญิงพื้นเมืองมานอนด้วยเพียงแค่แลกด้วยตะปูเพียงตัวเดียว
 

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

ประวัติเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง
สำหรับเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง (端午节 ตวนอู่เจี๋ยหรือ เทศกาลตวงโหงว)เป็นเทศกาลที่สืบทอดกันมาแต่โบราณของประเทศจีน ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจีน (จันทรคติ) ของทุกปี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 2 มิถุนายน 2557 เพื่อเป็นการระลึกถึงวันที่ ชวีหยวน ขุนนางผู้รักชาติแห่งแคว้นฉู่ นอกจากนี้ ในประเทศจีน บริเวณแม่น้ำฉางเจียน (แยงซีเกียง), ฮ่องกง, ไต้หวัน, มาเก๊า ยังมีการละเล่นแข่งเรือมังกร ที่เป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ในเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง หรือ "ขนมจ้าง"

โดยความเป็นมาของเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง หรือขนมจ้าง ตามตำนานเล่าว่า ในสมัยชุนชิว-จั้นกั๋ว ประเทศจีนถูกแบ่งเป็นแคว้นเล็ก ๆ จำนวนมาก แคว้นฉินเป็นแคว้นที่เข้มแข็งที่สุดในขณะนั้น ส่วนแคว้นฉู่เป็นแคว้นที่อ่อนแอและเล็ก ซึ่งมักถูกแคว้นฉินกดขี่ข่มเหง ชวีหยวน ซึ่งเป็นขุนนางตงฉิน รับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ถือเอาประโยชน์ของราษฎรเป็นที่ตั้ง เขาห่วงใยประเทศชาติบ้านเมืองของตนมาก จึงเสนอให้แคว้นฉู่ร่วมมือกับแคว้นฉีเพื่อต่อต้านแค้วนฉิน แต่ก็ถูกขุนนางกังฉินคอยใส่ร้ายป้ายสีต่อองค์ฮ่องเต้เสมอ ๆ

จนฮ่องเต้เริ่มมีใจเอนเอียง ชวีหยวนรู้สึกทุกข์ระทมตรมใจมาก จึงได้แต่งกลอนขึ้นเพื่อคลายความทุกข์ใจ กลอนบทนั้นมีชื่อว่า "หลีเซา" ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความห่วงใยบ้านเมืองและราษฎร จนต่อมาฮ่องเต้แคว้นฉู่ถูกกลลวงของแคว้นฉิน และสวรรคตในแคว้นฉิน รัชทายาทองค์ต่อมาจึงได้ขึ้นครองราชบัลลังก์แทน
   หลังจากที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรงหลงเชื่อคำยุยงของเหล่าขุนนางกังฉินพวกนั้น ในที่สุดจึงได้มีพระบรมราชโองการให้เนรเทศชวีหยวนออกจากแคว้นฉู่ไป ชวีหยวนเศร้าโศกเสียใจมาก หลังจากเดินทางรอนแรมมาถึงแม่น้ำเปาะล่อกัง (บางตำราว่าเป็นแม่น้ำแยงซีเกียง) ชวีหยวนจึงได้ตัดสินใจกระโดดน้ำตาย เพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกจงรักภักดีแต่ประเทศชาติและความคับแค้นใจที่มีต่อสังคม ในวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 เมื่อ 278 ปีก่อนคริสต์ศักราช

เมื่อชาวแคว้นฉู่รู้ข่าวการฆ่าตัวตายของชวีหยวน ต่างพากันมายังริมแม่น้ำ ชาวประมงก็ออกพายเรือหาเพื่อหวังว่าจะงมเขาขึ้นมาได้ ในขณะที่ค้นหาศพ บางคนก็นำข้าวปั้น ไข่ต้มที่เตรียมไว้ให้ชวีหยวนโยนลงแม่น้ำ เพื่อหวังว่าปลาปูกุ้งห้อยในน้ำจะกินอาหารพวกนี้แล้วไม่ไปกัดกินร่างของชวีหยวน จากนั้นทุกปีเมื่อครบรอบวันตายของชวีหยวน ชาวบ้านจะนำเอาอาหารไปโปรยลงแม่น้ำเปาะล่อกัง

  เมื่อทำมาได้สองปี ก็มีชาวบ้านผู้หนึ่งฝังเห็นชวีหยวนที่มาในชุดอันสวยงาม และได้กล่าวขอบคุณชาวบ้านที่นำเอาอาหารไปโปรยเพื่อเซ่นไหว้ แต่ชวีหยวนบอกว่าอาหารเหล่านั้นได้ถูกสัตว์น้ำกินเสียจนหมด เนื่องจากบริเวณนั้นมีสัตว์น้ำอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ชวีหยวนจึงแนะนำให้นำอาหารเหล่านั้นห่อด้วยใบไผ่หรือใบจากก่อนนำไปโยนลงน้ำ

ในปีต่อมาชาวบ้านต่างก็ทำตามที่ชวีหยวนแนะนำ ชวีหยวนก็ได้มาเข้าฝันชาวบ้านอีกว่าได้กินมากหน่อย แต่ก็ยังโดนสัตว์น้ำแย่งไปกินได้ ชาวบ้านต้องการให้ชวีหยวนได้กินอาหารที่พวกเขาเซ่นไหว้ไปให้อย่างอิ่มหนำสำราญ จึงได้ถามชวีหยวนว่าควรทำเช่นไรดี จึงได้คำแนะนำว่าเวลาที่จะนำอาหารไปโยนลงแม่น้ำให้ตกแต่งเรือเป็นรูปมังกร เมื่อสัตว์น้ำทั้งหลายได้เห็นก็จะนึกว่าเป็นเครื่องเซ่นของพระยามังกร จะได้ไม่กล้าเข้ามากิน จึงทำให้เป็นที่มาของประเพณีการไหว้ขนมจ้าง (ขนมบ๊ะจ่าง) และประเพณีการแข่งเรือมังกรมาจนถึงปัจจุบัน
การไหว้บ๊ะจ่าง


ส่วนการไหว้บ๊ะจ่างในปัจจุบัน คนจีนจะไหว้ในตอนเช้า โดยไหว้ด้วยธูป 3 ดอก หรือ 5 ดอก การไหว้ด้วยธูป 5 ดอก เพื่อระลึกถึงครูบาอาจารย์ พ่อแม่ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะเข้าหลัก 5 ธาตุ หรือ โหงวเฮ้ง ของจีน ประกอบด้วย ธาตุดิน ทอง น้ำ ไม้ และไฟ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวกับวิถีชีวิตโดยตรง และถ้าเป็นการไหว้ในไทย ช่วงเช้าก็จะไหว้เจ้าและบรรพบุรุษ แต่ที่พิเศษหน่อยก็ตรงที่มีบ๊ะจ่างเพิ่มเข้ามาด้วย


ความเชื่อเกี่ยวกับ วันไหว้พระจันทร์

วันไหว้พระจันทร์ เป็นวันที่พระจันทร์ส่องแสงงดงามที่สุด และเต็มดวงที่สุด ชาวจีนจึงให้พระจันทร์เป็นสัญลักษณ์ของความสวยงาม เป็นสื่อกลางของการคิดถึงซึ่งกันและกัน เมื่อคนในครอบครัวจากบ้านเกิดไปไกลคิดถึงครอบครัว ก็ให้แหงนมองดวงจันทร์ส่งความรู้สึกที่ดี ส่งความคิดถึงไปสู่ครอบครัวและคนที่รักผ่านดวงจันทร์
นอกจากนี้ ชาวจีนยังถือว่า วันไหว้พระจันทร์ เป็นวันที่คนในครอบครัวจะได้แสดงความสามัคคีกัน และได้ชมดวงจันทร์พร้อมหน้ากัน ซึ่งชาวจีนได้นิยาม วันไหว้พระจันทร์ ว่า "วันแห่งการอยู่พร้อมหน้าของครอบครัว"

ประวัติวันไหว้พระจันทร์

อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับต้นกำเนิดของเทศกาลนี้ ยังคงไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัด บ้างก็ว่าจักรพรรดิ์วู แห่งราชวงศ์ฮั่น เป็นผู้ริเริ่มการฉลองเพื่อกราบไว้พระจันทร์เป็นเวลา 3 วันในฤดูใบไม้ร่วงนี้
ขณะที่บางประวัติศาสตร์กล่าวว่า เทศกาลไหว้พระจันทร์ เกิดขึ้นในราวปี พ.ศ. 1911 ในช่วงมองโกลยึดครองจีน ขนมเค้กที่ทำขึ้นก็เพื่อซุกซ่อนข้อความลับของพวกกบฏ ที่มีถึงประชาชนทั่วทั้งประเทศให้มาชุมนุมกันครั้งใหญ่ในเดือน 8 นี้ ทหารมองโกลไม่ได้ระแวงถึงจุดประสงค์ของพวกกบฏ เพราะคิดว่าขนมเค้กเหล่านั้นเป็นการทำตามประเพณีดั่งเดิมของชาวจีน ด้วยเหตุนี้ในคืนนั้นเองทหารมองโกลจึงถูกปราบเสียราบคาบ หลังจากที่ราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์หมิงได้ถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว วันไหว้พระจันทร์ จึงถือปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้
การไหว้พระจันทร์
ก่อนหน้านี้ วันไหว้พระจันทร์ ชาวจีนที่เป็นผู้ชายจะไม่นิยมไหว้พระจันทร์ เนื่องจากชาวจีนเชื่อว่า พระจันทร์ถือเป็นหยินซึ่งเป็นธาตุของผู้หญิง ผู้ชายถือเป็นหยาง ดังนั้น จึงให้แต่ผู้หญิงเป็นคนไหว้เท่านั้น แต่ปัจจุบันชาวจีนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ก็สามารถไหว้พระจันทร์ได้เช่นกัน
การไหว้พระจันทร์ จะเริ่มต้นตอนหัวค่ำซึ่งดวงจันทร์เริ่มปรากฏบนท้องฟ้า และถึงแม้ปีไหนหรือสถานที่แห่งใดมองไม่เห็นพระจันทร์ แต่การไหว้พระจันทร์ของชาวจีน ก็จะยังต้องมีการไหว้พระจันทร์ในค่ำคืนนั้นเหมือนเดิม พิธีดำเนินไปจนถึงประมาณ 4-5 ทุ่ม หลังเสร็จพิธีทุกคนในครอบครัวจะตั้งวงแบ่งกันกินขนมไหว้พระจันทร์ โดยขนมต้องนำมาหั่นแบ่งให้เท่ากับจำนวนคนในครอบครัว ห้ามเกินหรือขาด และแต่ละชิ้นต้องมีขนาดที่เท่ากัน ขนมไหว้พระจันทร์จึงเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี ความกลมเกลียวคนในครอบครัว ดังนั้น รูปลักษณะของขนมไหว้พระจันทร์ จะต้องทำเป็นก้อนวงกลมเท่านั้น