คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) นักสำรวจชาวอิตาเลียนผู้ค้นพบทวีปอเมริกาในยุคใหม่ เสียชีวิต โคลัมบัสเกิดที่เมืองเจนัว ประเทศอิตาลีเมื่อปี 1994 ในสมัยนั้นผู้คนยังเชื่อว่าโลกแบน แต่โคลัมบัสต้องการค้นหาดินแดนแห่งเครื่องเทศและผ้าไหม ที่เรียกว่าอินเดียและจีน เขาจึงเสนอเป็นผู้สำรวจดินแดนดังกล่าวให้กษัริย์โปรตุเกสแต่ไม่สำเร็จ จึงเดินทางไปประเทศสเปนและเสนอตัวต่อ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ ที่ 2 (Ferdinand II of Aragon) และ พระนางอิสซาเบลลา ที่ 1 (Isabella of Castile) เพื่อออกสำรวจอินเดียและจีน เพื่อทำการค้าเครื่องเทศและผ้าไหม ในที่สุด เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2035 โคลัมบัสและลูกเรือ 90 คนและเรืออีก 3 ลำออกเดินเรือค้นหาทวีปเอเชียและจีน โดยแล่นเรือไปทางทิศตะวันตกข้ามมหาสมุทรแอตแลนติค และไปถึง เกาะบาฮามาส์(Bahamas) ทางตะวันออกของฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกาปัจจุบัน และตั้งชื่อว่า "ซาน ซัลวาดอร์" (San Salvador) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2035 ซึ่งเขาคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของเอเชีย จากนั้นเขาเดินเรือต่อไปจนถึงคิวบา ฮิสปานิโอลา เปอร์โตริโก จาเมกา ตรินิแดด เวเนาซุเอลา และคอคอดปานามา โคลัมบัสเชื่อมาตลอดจนเสียชีวิตว่าดินแดนที่เขาค้นพบนั้นคือทวีปเอเชีย ภายหลังได้มีการกำหนดให้วันที่ 12 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่โคลัมบัสมาถึงอเมริกาเป็น "วันโคลัมบัส" มีการเฉลิมฉลองกันในสหรัฐอเมริกาและประเทศต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้
วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558
เลฟ อีริคสัน(Leif Ericsson)
พวกไวกิงนั่งเรือลำยาวแล่นไปในที่ต่างๆ ในโลก อีริค เธอะ เรด หัวหน้าชาวนอรฺเวย์ ค้นพบเกาะกรีนแลนด์ เมื่อประมาณ ค.ศ. 982
บุตรชายของอีริค คือ เลฟ อีริคสัน เขาได้ทำการสำรวจเกาะกรีนแลนด์สืบต่อจากพ่อของเขา และเขายังได้เคย เข้าร่วมขบวนเดินทางสำรวจที่พ่อของเขาส่วไปยัง ทวีปอเมริกาเหนือ เมื่อประมาณปี ค.ศ.1000 เขาได้ไปถึงส่วนที่เป็นชายฝั่ง อเมริกาเหนือ ระหว่างแลบราดอร์ และแหลมคอด แมสซาจูเซตส์ เขาเรียกดินแดนนี้ว่า วินแลนด์ หรือแดนเหล้าองุ่น เนื่องจากพ่อของเขา พบผลองุ่นป่างอกงามที่นั่น
ฮัดสัน (Henry Hudson)
หลังจากการค้นพบอเมริกา พวกพ่อค้าเริ่มมองหาเส้นทางเดินเรือจากยุโรป ไปทางตะวันตกจนถึงเอเซีย บางพวกคิดว่า เป็นไปได้ที่จะอ้อมเรือไปทางยอดบนสุดของเมริกาเหนือ พวกเขาเชื่อว่ามีทางทะเล ที่พวกเขาเรียกว่า เส้นทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ความพยายามอันหาญกล้าที่จะค้นพบเส้นทางเดินเรือสายตะวันตกเฉียงเหนือนี้ได้กระทำในปี ค.ศ. 1610 เฮนรี่ ฮัดสัน นักเดินเรือชาวอังกฤษ ได้ไปถึงอเมริกาเหนือและชายฝั่งอาร์กติกของแคนาดา เขาและลูกเรือของเขาได้ผจญกับความทุกข์ยาก อย่างแสนสาหัสในระหว่างฤดูหนาวของอาร์กติก พวกลูกเรือได้พากันขัดขืนอำนาจของเขา และจับฮัดสันกับพวกที่ภักดีต่อเขา ใส่ลงไปในเรือซึ่งเปิดโล่ง แล้วปล่อยให้ล่องลอยไปตามยถากรรม จากนั้นก็ไม่มีใครพบพวกเขาอีกเลย.
มาเจลแลน (Ferdinand Magellan)
เฟอร์ดินันด์ มาแจลแลน นักสำรวจชาวโปรตุเกส ได้เดินทางในปี ค.ศ. 1519 ในฐานะผู้ควบคุมคณะเดินทางสำรวจ ที่จะไปค้นหาเส้นทางเดินเรือทางตะวันตก เพื่อไปยังเกาะอินดีสตะวันออก
มาแจลแลน ได้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอนแลนติก ทางปลายสุดของอเมริกาใต้ ผ่านช่องแคบ ที่ภายหลังได้ตั้งชื่อว่า ช่องแคบมาแจลแลน เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา เมื่อมาถึงอีกด้านหนึ่งเขาก็ตั้งชื่อว่า มหาสมุทรแปซิฟิก แปลว่าความสงบ จากนั้นเขา ก็ได้เดินทางไปยังหมู่เกาะฟิลิปปิน ที่ซึ่งเขาได้ถูกฆ่าตาย ในการต่อสู้กับคนพื้นเมือง ลูกเรือคนหนึ่งของเขาได้เดินทางต่อไปจนสำเร็จ สมบรูณ์.
วาสโก ดา กามา (Vasco da Gama)
การค้นหาเส้นทางเดินเรือจากยุโรปมายังเอเซีย เริ่มโดน ดีแอส และ ดีโอโก แคม แต่ภาระนี้ได้สำเร็จลงโดย วาสโก ดา กามา นักเดินเรือชาวโปรตุเกส
วาสโก ดา กามา ได้ตั้งต้นจากลิสบอน และแล่นเรือไปยังหมู่เกาะเคปเวอร์ด โดยแล่นไปทางใต้อ้อมแหลมกู้ดโฮป ไปตามชายฝั่งตะวันออกไกลไปทางเหนือจนมาถึงมาลีนดี (คีนยา) เขาได้ข้ามมหาสมุทรอินเดีย และในปีค.ศ. 1498 ก็ได้บรรลุ ถึงชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย และในปี ค.ศ.1499 เขาก็เดินทางกลับโปรตุเกส และได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ เขาเดินทางไปอินเดียอีกสองครั้ง ในปี ค.ศ.1502 และค.ศ. 1524.
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจชาวอิตาเลียน ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา, คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจชาวอิตาเลียน ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา หมายถึง, คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจชาวอิตาเลียน ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา คือ, คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจชาวอิตาเลียน ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา ความหมาย, คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจชาวอิตาเลียน ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา คืออะไร
Y2K คืออะไร
ปัญหา Y2K คืออะไร ปัญหา Y2K คือปัญหาซึ่งจะเกิดขึ้นกับระบบคอมพิวเตอร์และเครื่องมือทุกชนิดที่มี ส่วนควบคุมเป็น Micro Chip ซึ่งมีการทำงานต่างๆขึ้นกับวันและเวลาในตัว Micro Chip ที่เราเรียกว่า Real Time Clock (RTC) หากอุปกรณ์ใดก็ตามที่ไม่ได้ใช้วันและเวลาในตัว Micro Chip ในการทำงานหรือใช้เฉพาะเวลาเพียงอย่างเดียวจะไม่ได้รับผลกระทบจาก ปัญหา Y2K เลย
วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558
ตำนานรักบรรลือโลกอีกเรื่องหนึ่งที่เราจะนำมาเล่าสู่กันฟังในเดือนแห่งความรักนี้ คือ ตำนานรักของ" พระนางคลีโอพัตรา " ตามหน้าประวัติศาสตร์แล้ว พระชายาองค์หนึ่งของพระเจ้าลิป ซึ่งเป็นพระบิดาของ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ก็ทรงมีพระนามว่า " คลีโอพัตรา "
และเมื่อ ราชวงศ์ปโตเลมี ของ มาซีโดเนี่ยน ขึ้นปกครองไอยคุปต์ นาม " คลีโอพัตรา " จึงนิยมตั้งชื่อกันอย่างแพร่หลาย ในหมู่เจ้าหญิงของราชวงศ์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ราชินีคลีโอพัตราแห่งไอยคุปต์จึงมีถึง 7 พระองค์
ส่วนองค์ที่เราจะได้รับรู้เรื่องเบื้องลึกของพระนางในที่นี้เป็น ราชินีคลีโอพัตราองค์สุดท้าย พระนางทรงเป็น ราชธิดาของ ฟาโรห์ออลีตีส
พระนางคลีโอพัตรา ในความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วไป คือ พระราชินีผู้ทรงเสน่ห์ที่สุด มีรูปโฉมที่งดงาม เพียบพร้อมไปด้วยกลเม็ดเด็ดพรายในเชิงพิศวาส ที่สามารถมัดใจชายผู้เป็นยอดนักรบที่กล้าแกร่งให้มาซบอยู่ตักได้ถึงสองคนในเวลาใกล้เคียงกัน แต่แท้ที่จริงแล้ว เสน่ห์ของพระนางคลีโอพัตรา ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหนังมังสา หรือความงดงามแห่งใบหน้าและเรือนกายเลย แต่อยู่ที่สติปัญญาและความเฉลียวฉลาดรู้เท่าทันคนต่างหาก
การที่เราเข้าใจกันว่า พระนางมีเสน่ห์อันล้ำลึก ยั่วยวนใจชาย จนเหลือกำลังนั้น เป็นผลมาจากภาพของ พระนางคลีโอพัตรา ที่เราเห็นจากภาพยนตร์ที่สร้างมาจากบทละครอันลือลั่นของ วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ ชื่อเรื่อง " แอนโทนี - คลีโอพัตรา " นั่นเอง และยิ่งละครและภาพยนตร์ยิ่งดังเท่าไร ผู้คนก็พากันเชื่อมั่นว่า พระนางคลีโอพัตรา จะต้องเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่านั้น
แต่จากหลักฐานที่นักเขียนชีวประวัติลือนามอย่าง " พลูตาร์ค " ได้เขียนถึง พระนางคลีโอพัตรา ไว้ว่า "เราได้รับคำบอกเล่าว่า ความงามของคลีโอพัตรานั้น มิใช่งามเลิศไร้ที่ติ จนดึงดูดสายตาของผู้พบเห็นในนาทีแรก แต่นางมีนางมีเสน่ห์อันใครต้านทานไม่ได้ มีบุคลิกแปลกและทรงอำนาจ จนทำให้ทุกวาจาและท่าทีของนางสะกดผู้คนให้ตกอยู่ในมนต์เสน่ห์อันนี้เอง "
ภาพของพระนางคลีโอพัตราคือ หญิงสาวที่มีเรือนร่างอันอวบอ้วนใบหน้ากลม ปากบางสวย แต่มีจมูกที่ทั้งใหญ่และงุ้ม แม้ว่ารูปโฉมของพระนางคลีโอพัตรา ราชินีแห่งไอยคุปต์จะไม่เหมือนอย่างที่เราเคยรับรู้ แต่บุคลิกและเอกลักษณ์ของพระนาง ที่เลอค่ามากกว่ารูปโฉม จนกลายเป็นเสน่ห์ที่มั่นคงและมากขึ้นตามอายุไข นั่นก็คือ สติปัญญาและความรอบรู้ พระนางทรงเชี่ยวชาญในด้านคณิตศาสตร์ รอบรู้เรื่องรัฐศาสตร์ และหลักการปกครอง อันเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ดี
รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์อย่างยอดเยี่ยม สามารถพูดได้ถึง 6 ภาษา รวมทั้งยังเก่งเรื่องอักษรศาสตร์และศิลปศาสตร์ เพราะตลอดเวลา 22 ปีที่ทรงครองบัลลังก์อยู่ พระนางแต่งโคลงกลอนไว้มากมาย รวมทั้งให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูศิลปกรรมสาขาต่าง ๆ มากมาย
ด้วยความเก่งกาจของ พระนางคลีโอพัตรา ที่มีอยู่มากมาย ทำให้ฟาโรห์ผู้เป็นพระราชบิดาของพระนาง แต่งตั้งให้พระนางขึ้นครองราชบัลลังก์ คู่กับพระองค์ในปี 52 ก่อนค.ศ. และพระนางก็สามารถบริหารราชการบ้านเมืองคู่พระบิดามาได้ด้วยความเรียบร้อย จนเมื่อพระบิดาสวรรคต ความทุกข์ความขมขื่นในชีวิตของพระนาง ก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อตามธรรมเนียมไอยคุปต์ ที่สืบทอดบัลลังก์กันทางผู้หญิง
โดยที่ราชธิดาของฟาโรห์จะได้รับการตระเตรียมเพื่อเป็นราชินี โดยที่จะต้องแต่งงานกันในระหว่างพี่น้อง พระนางคลีโอพัตราจึงหนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ข้อนี้
พระนางถูกวางตัวให้อยู่ในตำแหน่งาชินี และต้องแต่งงานกับ ฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 น้องชายของพระนางเองแต่โชคร้ายที่พี่น้องคู่นี้เกลียดกัน ถึงขนาดต้องการจะฟาดฟันให้ตายกันไปข้างหนึ่งทีเดียว ผู้เป็นน้องชายจึงจ้องจะหาทางกำจัดพี่สาว ส่วนพระนางคลีโอพัตราก็อยากจะกำจัดน้องชายเสียให้สิ้นเรื่อง แต่ในเวลานั้น พระนางยังไม่ทรงแน่ใจ ในอำนาจที่มีอยู่ในมือ จึงต้องเป็นฝ่ายล่าถอยออกจากเมืองอเล็กซานเดรียเพื่อไปตั้งหลัก
พระนางเริ่มมองหาพันธมิตร เพื่อช่วยเหลือในการกำจัดฟาโรห์ออกจากบัลลังก์ให้ได้ซึ่งเป็นช่วงประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่ โรม เริ่มรุกรานดินแดนแถบเมดิเตอร์เรเนียน โดยมี จูเลียส ซีซาร์ เป็นแม่ทัพยกมาทางอียิปต์
พระนางเห็นเป็นจังหวะเหมาะ จึงลอบเข้าเมืองเพื่อไปหา ซีซาร์
มาถึงตอนนี้ ที่เราเห็นในภาพยนตร์คือ พระนางคลีโอพัตรา ซ่อนร่างอยู่ในม้วนพรม แล้วให้ทาสแบกเข้าไปในวังที่ซีซาร์พัก เมื่อคลี่พรมออก ก็ปรากฏเรือนร่างเปลือยเปล่าของพระนางออกมาร่ายรำ แต่จริง ๆ แล้ว หาได้เป็นเช่นนั้นไม่แต่เป็นเพราะ การเจรจาที่ฉลาดเฉียบแหลมทางสติปัญญาของพระนางต่างหากที่ทำให้ จูเลียต ซีซาร์ ยอมช่วย ราชินีไอยคุปต์ให้ได้ครองบัลลังก์ แต่เพียงผู้เดียว
ซีซาร์ บัญชาการทหารให้ทำลายล้างกองทัพอียิปห์ ที่ต่อต้านพระนางคลีโอพัตรา และการสงครามในครั้งนี้ ซีซาร์ได้เผาเรือรบของตนตามแผนยุทธการ
แต่บังเอิญไฟได้ลามไปถึง หอสมุดอเล็กซานเดรีย ไหม้ส่วนที่เป็นเอกสารสำคัญเหตุการณ์เพลิงไหม้ในครั้งนนั้นได้รับการขนามนามให้เป็น " ความทรงจำของมนุษชาติ "พอเพลิงสงบก็พบศพของ ปโตเลมีที่ 13 จมอยู่ในแม่น้ำไนล์ในชุดเกราะทองครบครัน และเล่าลือกันว่า พระนางคลีโอพัตรา นั่นเองที่เป็นคนผลักลงไป
เมื่อปราศจากผู้ครองนคร ซีซาร์ในฐานะที่ตีเมืองได้ก็ต้องแต่งตั้งผู้ครองนครขึ้นมาน้องชายอายุ 12 ปีของพระนางคลีโอพัตราจึงได้เป็นปโตเลมีที่ 14
ส่วนซีซาร์และพระนางคลีโอพัตรา ก็กลายเป็นคู่เชยคู่ดังแห่งยุค เมื่อซีซาร์ยกทัพกลับกรุงโรมได้ไม่นาน พระนางคลีโอพัตราก็ตั้งครรภ์ พระนางได้ตั้งชื่อพระโอรสว่า ปโตเลมีซีซาร์ แต่คนทั่วไปเรียกว่า ซีซาร์เรียน พระนางพาโอรสมาเยือนกรุงโรมในปี 46 ก่อน ค.ศ. ตามคำเชิญของซีซาร์ ซึ่งทำการต้อนรับพระนางอย่างยิ่งใหญ่ พระนางนั้นหวังว่า ซีซาร์จะแต่งตั้งโอรสให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจ แต่ว่า จูเลียต ซีซาร์ ก็ต้องมาถูกฆ่าตายกลางสภาในกลางเดือนมีนาคมปี 44 ก่อน ค.ศ. นั่นเอง ก่อนตายเขาได้แต่งตั้งหลานชายคือ อ๊อคตาเวีย ขึ้นครองกรุงโรมพระนางคลีโอพัตราจึงต้องพาโอรสกลับอเล็กซานเดรียด้วยความผิดหวัง
" ความรัก คลีโอพัตรา มาร์ค แอนโทนี่ "
พระนางคลีโอพัตรา เงียบหายไปหลายปี เพราะมัวยุ่งอยู่กับการฟื้นฟูอียิปต์ และผูกไมตรีกับเพื่อนบ้านไม่ว่าจะ ยิว หรือ อาหรับ ในที่สุด อียิปต์ก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง จนกระทั่ง มาร์คุส อันโทนิอุส หรือ มาร์ค แอนโทนี ขุนพลของโรมัน ส่งสารเชิญพระนางคลีโอพัตราไปพบ เพื่อหารือขอความช่วยเหลือ เมื่อพระนางไปพบ มาร์ค แอนโทนี่ ที่เมืองทาร์ซุส ความรักครั้งยิ่งใหญ่ก็บังเกิดขึ้น และดำเนินไปด้วยความหวานชื่น
แต่ก็ให้เกิดเหตุบังเอิญเมื่อ ฟุลเวีย ภรรยาคนที่สามก่อกบฏ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แก่อ๊อคตาเวีย และโดนประหารในที่สุด แอนโทนี จึงต้องกลับบ้าน และตกลงแต่งงานกับน้องสาวของ อ๊อคตาเวีย เพื่อสานสัมพันธ์กันใหม่
พระนางคลีโอพัตรา แทบคลั่งเมื่อได้ทราบการแต่งงานของชู้รัก
ต่อมา พระนางก็ให้กำเนิดลูกแฝดแก่ แอนโทนี และตั้งชื่อว่า อเล็กซานเดอร์ เฮลิออส และ คลีโอพัตราเซเลเน แล้วจู่ ๆ มาร์ค แอนโทนี ก็ติดต่อมาอีก ทั้งคู่จึงกลับมาคืนดีกัน ด้วยความหวานชื่นอีกครั้ง
ทางด้านกรุงโรมก็กำลังวุ่นวาย เมื่อรู้ว่า แอนโทนี กับ คลีโอพัตรา สนิทแนบแน่นกันนั้น อาจจะกำลังมีแผนการอย่างอื่นอยู่ อ๊อคตาเวีย จึงเรียกร้องให้ คลีโอพัตรา ส่งเสบียงกรังมาเป็นส่วย แต่ แอนโทนี ห้ามไว้
เมื่อแน่ใจแล้วว่า แอนโทนี กำลังแปรพักตร์ไปเข้ากับอียิปต์ อ๊อคตาเวีย จึงประกาศให้ ชาวโรม ฟังว่า แอนโทนี มีแผนจะย้ายเมืองหลวงหรือก่อกบฎนั่นเอง แอนโทนี จึงประกาศว่า อ๊อคตาเวีย ไม่ใช่ทายาทที่ถูกต้อง แต่ ซีซาร์เรียน เท่านั้น ที่เป็นทายาทตัวจริงของซีซาร์ และมีสิทธ์ครองกรุงโรม
อ๊อคตาเวีย จึงเกลี้ยกล่อม สภาซีเนท ของโรม ให้เห็นถึงอันตรายของอียิปต์ ภายใต้การปกครองของ แอนโทนี และ คลีโอพัตรา ในที่สุด โรมจึงประกาศสงครามกับอียิปต์ปี 31 ก่อน ค.ศ.
กองทัพโรมัน ก็บ่ายหน้าสู่อียิปต์ มาร์ค แอนโทนี ยกกองทัพเรือออกไป โดยมี คลีโอพัตราลงเรือของเธอไปสังเกตการณ์กองทัพของฝ่ายโรมันและอียิปต์เข้าโรมรันกันอย่างดุเดือด พระนางคลีโอพัตรา ตกพระทัยในศึกดุเดือดเบื้องหน้า จึงสั่งให้เรือของเธอกลับลำหนี เมื่อแอนโทนีหันมาเห็นเข้า ก็ถอดเสื้อเกราะทิ้ง แล้วแล่นเรือไล่ตามหลังพระนางมา
การรบเป็นอันจบสิ้น รวมทั้งชีวิตของคนทั้งสองด้วย
เมื่อพบกับความพ่ายแพ้ มาร์ค แอนโทนี จึงฆ่าตัวตายในอ้อมแขนของ พระนางคลีโอพัตรา ส่วนพระนางก็ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายตามคู่รักไป อียิปต์จึงตกเป็นของโรมันตั้งแต่นั้นมา หลักฐานของเหตุการณ์ต่าง ๆ ยังคงปรากฏให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาประวัติศาสตร์กันมาหลายยุคหลายสมัย แต่เว้นอยู่อย่างเดียวคือ ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่จะระบุสุสานของ มาร์ค แอนโทนี และ พระนางคลีโอพัตรา อยู่ที่ไหน ความลับเกี่ยวกับที่เก็บศพของคู่รักบันลือโลกคู่นี้จึงยังเป็นความลับอยู่ตลอดมา
อาณาจักรอุษมานียะฮ์หรือออตโตมานเติร์กเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1299 หลังจากอาณาจักรเซลจูกเติร์กแห่งอนาโตเลียถูกกองทัพมงโกลรุกรานและล่มสลายในที่สุด อาณาจักรอุษมานียะฮ์ถูกสถาปนาขึ้นโดย อุษมาน และท่านอุษมานได้ประกาศตนเป็นปาดีชะห์ปกครองอาณาจักรออตโตมานที่แคว้นโซมุตทางทิศตะวันตกของอนาโตเลีย จึงนับว่าท่านเป็นสุลต่านองค์แรกแห่งราชอาณาจักนออตโตมาน (อุษมานียะฮ์) คำว่า อุษมานียะฮ์มาจากชื่อต้นตระกูล เป็นชื่อของสุลต่านองค์แรกของราชวงค์ ผู้สถาปนาราชอาณาจักรอุษมานียฮ์ ประมุขสุงสุดของอาณาจักรออตโตมาน เรียกว่า ปาดีชะห์ หรือ สุลต่าน ผู้มีอำนาจรองลงมา คือ วาซีร อะซัม (แกรนด์วิเซียร์)ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าดิวาน ซึ่งในปัจจุบันอาจหมายถึง รัฐบาล และมีอีกตำแหน่งหนึ่งเรียกว่า ไซคุลอิสลาม ทำหน้าที่ดูแลฝ่ายกิจกรรมศาสนาอิสลาม มีฐานะเท่าเทียมกับ แกรนด์วิเซียร์ ทั้งสามสถาบันถือเป็นสถาบันหลักของอาณาจักรออตโตมาน
|
รายงานวิจัย ระบุว่า ประชากรโลกว่า ร้อยละ 84 หรือประมาณ 6.9 ล้านคน ระบุว่าตนเองเป็นผู้นับถือศาสนา
นายคอนราด แฮ็กเกตต์ นักวิเคราะห์สถิติประชากร กล่าวว่า จากการสำรวจสำมะโนประชากรตัวอย่
อันดับ 1 ศาสนาคริสต์ มีผู้นับถืออยู่ทั่วโลกสูงถึง 2.2 พันล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 31.5 ของประชากรโลก แบ่งเป็ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคา
อันดับ 2 ศาสนาอิสลาม สำหรับประชากรชาวมุสลิมทั่วโลกข
อันดับ 3 สำหรับผู้ที่ระบุว่าไร้ศาสนา หมายถึง ผู้ที่แสดงตนว่าไม่ได้นับถือศาส
อันดับ 4 ศาสนาฮินดู เป็นศาสนาที่มีจำนวนผู้
อันดับ 5 ศาสนาพุทธ ครึ่งหนึ่งพุทธศาสนิกชนทั่วโลกอ
อันดับ 6 กลุ่มศาสนาเล็ก ๆ เช่น บาไฮ ลัทธิเต๋า เจนไน ชินโต ซิกข์ เทนริเคียว วิคคา และโซโรอัสเตอร์ มีผู้นับถือรวมกันประมาณเกือบร้
อันดับ 7 กลุ่มผู้ที่นับถือธรรมชาติ กราบไหว้ภูติผีและเทพเจ้าอื่น ๆ ตามความเชื่อของบรรพบุรุษ มีประมาณ 405 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 6 ของประชากรทั้งโลก โดยส่วนใหญ่พบในทวีปแอฟริกา ประเทศจีน หรือชาวอินเดียนแดง และอะบอริจิ้น
อันดับ 8 ศาสนายิว มีผู้นับถือศาสนานี้ในป
บีทรูท หรือ บีตรูต (อ่านว่า บีท-รูท) มีชื่อเรียกอื่นว่า ผักกาดฝรั่ง ผักกาดแดง
บีทรูท เป็นผักเพื่อสุขภาพประจำเมืองหนาวที่ปลูกกันมากทางภาคเหนือของบ้านเรา โดยมีต้นกำเนิดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน แถบยุโรป โดยมีรากหรือหัวพืชที่สะสมอาหารอยู่ใต้ดิน มีลักษณะทรงกลมป้อม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-5 เซนติเมตร เนื้อด้านในอวบน้ำ มีสีแดงเลือดหมู ม่วงแดง และเหลือง
การเลือกซื้อและการเก็บรักษาบีทรูท สำหรับการเลือกซื้อควรเลือกหัวบีทรูทที่มีขนาดเล็ก เพราะจะมีเนื้อละเอียดและให้รสหวานมากกว่าหัวบีทรูทขนาดใหญ่ มีผิวไม่เหี่ยว จับดูเนื้อแล้วไม่นิ่ม แต่ถ้าใบติดอยู่ด้วย ก็ให้เลือดหัวที่ใบยังสดอยู่ แล้วนำมาตัดใบให้เหลือก้านประมาณ 3 เซนติเมตร หลังจากนั้นนำไปล้างน้ำให้สะอาด แล้วเก็บใส่ในถุงตาข่ายวางไว้ในที่ร่ม หรือจะนำมาแช่ในตู้เย็นตรงช่องเก็บผักก็ได้ ซึ่งจะเก็บไว้ได้นานถึง 2 อาทิตย์
หัวบีทรูท มีสารสีแดงที่มีชื่อว่า บีทานิน (Betanin) ซึ่งเป็น กรดอะมิโน เป็นตัวช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยลดการเติบโตของเนื้องอกได้ แถมยังทำให้เลือดลมและระบบการไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดีมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีสารสีม่วงที่มีชื่อว่า แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดสารก่อมะเร็ง และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและอัมพาตได้อีกด้วย !
โดยบีทรูทจะมีขายทางภาคเหนือซะเป็นส่วนมาก และมีขายทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ แต่ถ้าเป็นกรุงเทพก็หาซื้อได้ที่ ตลาด อ.ต.ก, ตลาดไทย, ตลาดสี่มุมเมือง และในห้างต่าง ๆ โดยราคาของบีทรูทก็อยู่ที่ประมาณ 45-70 บาทต่อ 1 กิโลกรัม
ประโยชน์ของบีทรูท
เนื้อของบีทรูทเต็มไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งช่วยบำรุงสายตา วิตามินบีรวม ตลอดจนมีสารสีแดงในหัวคือ เบทานิน (betanin) เป็นกรดอะมิโนที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง ช่วยทำให้เลือดลมดี และการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น นอกจากนี้ส่วนประกอบสีแดงของบีทรูท หรือที่เรียกว่า สารเบทานิน (Betanin) อุดมไปด้วยวิตามินซี นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มออกซิเจนให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ถึง400% จึงช่วยให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง
ผลข้างเคียงจากการรับประทานบีทรูท
การรับประทานอาหารที่ทำมาจากบีทรูทมากเกินไป จะทำให้ปัสสาวะ เป็นสีชมพูหรือสีแดง ซึ่งอาจจะทำให้เข้าใจผิด คิดว่าเป็นเลือดในปัสสาวะ อาการนี้เรียกว่า "บีทูเรีย" (beeturia) เกิดขึ้นเนื่องจากการกินบีทรูทมากเกินไป ซึ่งทำให้เม็ดสีที่ชื่อ บีทาเลียน (betalian) ในร่างกายมีจำนวนมากขึ้น และเมื่อมันเพิ่มจำนวนขึ้น กลไกของร่างกายจะทำการขจัดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะขับออกมาทางปัสสาวะนั่นเอง แต่อาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน จะมีเพียง 10-14% ของประชากรทั้งหมดเท่านั้น และจากการได้รับแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) มากเกินไป ซึ่งบีทรูทเป็นหนึ่งใน อาหาร ที่มี oxalates ที่จะทำให้ร่างกายไม่ดูดซึม แคลเซียม เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดนิ่วในไตได้
นิ่วชนิดที่เกิดจากแคลเซียม พบได้บ่อยที่สุด ประมาณ 75-85% ของนิ่วในไตทั้งหมด ซึ่งชนิดที่พบบ่อย คือ แคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate, สาร oxalate เป็นสารพบในพืช โดยเฉพาะผัก ยอดผักต่างๆ และถั่ว) เป็นนิ่วชนิดพบบ่อยในผู้ชาย เป็นนิ่วที่ตรวจพบได้จากการเอกซเรย์ภาพไต
1. ใส่แว่นเฉพาะตอนที่จำเป็น
หากสวมแว่นเป็นประจำ จะทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายเกินไป ลองถอดแว่นแล้วอ่านหนังสือโดยเอาหนังสือออกห่างจากดวงตามากเท่าที่จะมองเห็นได้ หากทำบ่อยๆจะช่วยให้กล้ามเนื้อสายตาปรับตัว และทำให้มองเห็นได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
สำหรับสาวๆคนไหนที่สายตาไม่เท่ากัน แนะนำให้ปิดตาข้างหนึ่งแล้วค่อยอ่านตามวิธีข้างบน สลับกันไปมา หรือถ้าสายตาไม่เท่ากันเพียงแค่นิดเดียว ก็อ่านพร้อมๆกันไปเลยจ้า
2. กระพริบตาบ่อยๆ
กระพิบตาอย่างน้อย 1 ครั้งต่อ 10 วินาที จะช่วยให้กล้ามเนื้อตาผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียดจ้ะ (ไม่ต้องนับเป้ะๆก็ได้นะ ขอแค่ทำบ่อยๆก็พอ)
3. บริหารกล้ามเนื้อตา
ให้ชำเลืองตาขึ้นข้างบนสัก 5 วินาที ต่อด้วยลงล่างอีกสัก 5 วินาที จากนั้นซ้าย 5 วินาที และขวาอีก 5 วินาที เสร็จแล้วพักตาสักแปบแล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง ควรทำเป็นประจำวันละอย่างน้อย 10 นาทีค่ะ
4. บำบัดด้วยน้ำเย็น
ก่อนอาบน้ำให้เตรียมน้ำเย็นๆสักกาละมังเล็กๆ จากนั้นทำมือเป็นรูปถ้วยแล้วตักน้ำมาแตะๆที่ตา ทำเรื่อยๆสัก 10 นาทีต่อวัน และทำเป็นประจำวันละสองครั้ง น้ำเย็นจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายได้เช่นกันจ้ะ
5. บำบัดด้วยมโนภาพ
ขณะที่อ่านหนังสือ ให้เลือกคำ 1 คำแล้วจำไว้ให้ขึ้นใจ จากนั้นให้ยื่นหนังสือออกไปให้ไกลสุดจนมองเห็นแบบเบลอๆแล้วหลับตาลง นึกภาพในใจเอาไว้แล้วลืมตาแล้วเพ่งไปที่คำนั้น กล้ามเนื้อตาจะค่อยๆปรับโฟกัสให้ดีขึ้นอย่างอัตโนมัติ (ลองทำทุกวัน วันละ 10 นาที)
6. บำบัดด้วยอุ้งมือ
ก่อนนอนให้เอนตัวลงบนเก้าอี้หรือเบาะที่นั่งสบายๆ จากนั้นเอาอุ้งมือปิดตาทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้มีแสงใดๆเล็ดลอดเข้ามาได้ ดวงตาจะรู้สึกสบายและผ่อนคลายส่วนกล้ามเนื้อมากขึ้นค่ะ (ทำทุกวันก่อนนอน วันละอย่างน้อย 45 นาทีนะคะ)
แปลและเรียบเรียงโดย raraROBYN
ไซนัสผิด
ถ้า
จะ
เมื่อ
จะ
แล้ว